สัตว์ศัตรูข้าวที่สำคัญและวิธีการป้องกันกำจัด ปัญหาที่ชาวนาต้องจัดการ

หอยเชอรี่ (golden apple snail)

วิธีป้องกันกำจัดหอยเชอรี่สัตว์ศัตรูข้าวที่สำคัญ
ลักษณะรูปร่างหอยเชอรี่
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pomacea canaliculata Lamarck
วงศ์ : Ampullariidae อันดับ : Mesogastropoda
ชื่อสามัญอื่น : หอยโข่งอเมริกาใต้, หอยเปาอื้อน้ำจืด

รูปร่างลักษณะและชีวประวัติหอยเชอรี่

หอยเชอรี่ Pomacea canaliculata
Lamarck เป็นหอยทากน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายหอยโข่งแต่เปลือกมีสี
อ่อนกว่าคือมีสีเขียวเข้มปนดำผสม
กับแถบสีจางๆพาดตามความยาว เปลือก บางตัวมีสีเขียวเข้มปนดำ บางตัวมีสีเหลืองปนน้ำตาล (ภาพที่ 1)
ตัวเต็มวัยนาน 3 เดือน สามารถผสมพันธุ์และวางไข่ได้ เพศ เมียวางไข่ในที่แห้งเหนือระดับน้ำ สามารถวางไข่ได้ตลอดปี โดยเฉพาะฤดูฝนวางไข่ได้ 10 - 14 ครั้งต่อเดือน ไข่มีสีชมพู
เกาะติดกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 388 - 3,000 ฟอง (ภาพที่ 2)
ขึ้นกับขนาดของหอยเพศเมีย ระยะไข่ 7 - 12 วัน ลูกหอย
ตัวเล็กๆกินสิ่งอ่อนนิ่ม เช่น สาหร่ายเป็นอาหาร และ เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อมีขนาด 1.6 เซนติเมตร ก็เริ่ม กัดกินต้นข้าวได้

ลักษณะการทำลายของหอยเชอรี่

หอยเชอรี่เป็นศัตรูสำคัญของข้าวในระยะหว่านชอบกัดกินต้นข้าวอ่อนๆ ระยะกล้าจนถึงแตกกอในช่วงเช้าและเย็น โดยจะกัดกินลำต้นใต้ผิวน้ำสูงเหนือระดับโคนต้น 0.5-1 นิ้ว และกินส่วนใบที่ลอยน้ำต่อไปจนหมดต้น พบระบาดมากในนาข้าวทั่วประเทศ โดยเฉพาะนาข้าวที่มีน้ำขัง
ลักษณะหอยเชอรี่สัตว์ศัตรูข้าวในนาข้าว
ลักษณะหอยเชอรี่
ไข่หอยเชอรี่ในนาข้าว
กลุ่มไข่หอยเชอรี่
ลักษณะการทำลายต้นกล้าข้าวในนาหว่าน
ลักษณะการทำลายต้นกล้าข้าวในนาหว่าน
สภาพนาข้าวที่เหมาะต่อการระบาด
สภาพนาข้าวที่เหมาะต่อการระบาด

การป้องกันกำจัดหอยเชอรี่โดยวิธีผสมผสาน

เชอรี่เป็นหอยทากน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า หอยโข่งอเมริกาใต้ เป่าซื้อน้ำจืด หอยชนิดนี้มีลักษณะ คล้ายหอยโข่งบ้านเรา แต่เปลือกมีสีอ่อนกว่า คือ มีทั้งสี เขียวเข้มปนดำผสมกับแถบสีจางๆ พาดตามความยาว เปลือกและบางตัวมีสีเขียวเข้มปนดำอย่างเดียว ในขณะที่
บางตัวมีสีเหลืองปนน้ำตาล ส่วนเนื้อหอยมีตั้งแต่สีเหลือง อ่อนจนถึงสีเหลืองแก่ หรือสีน้ำตาล อ่อนจนถึงน้ำตาล เข้ม
เกือบดำ หอยตัวเต็มวัยอายุเพียง 3 เดือน มีความสูง 2.5 เซนติเมตร สามารถผสมพันธุ์และวางไข่ได้ แม่หอยจะ วางไข่ในที่แห้งเหนือระดับน้ำ
แม่หอยสามารถวางไข่ได้ตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูฝน จะวางไข่ได้ถึง 10 - 14 ครั้ง ต่อเดือน ส่วนในฤดูร้อนจำนวน ครั้งที่แม่วางไข่จะน้อยลง ไข่หอยเชอรี่จะฟักเป็นตัวภายใน 7 - 12 วัน ลูกหอยตัวเล็ก ๆ จะกินสิ่งที่อ่อนนิ่ม เช่น สาหร่ายเป็นอาหาร และเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อมีขนาด 1.6 เซนติเมตร ก็เริ่มกัดกินต้นข้าวได้ หอยเชอรี่ชอบกิน ต้นข้าวอ่อน ๆ ตั้งแต่ระยะข้าวปักดำใหม่จนถึงแตกกอเต็มที่ โดยจะกัดกินลำต้นข้าวใต้ผิวน้ำสูงเหนือโคนต้น 0.5 - 1 นิ้ว แล้วกินส่วนใบที่ลอยน้ำต่อไปจนหมดต้น นอกจากนี้หอย เชอรี่ยังกินได้ทั้งซากพืชและซากสัตว์ตลอดจนพืชน้ำสดชนิด
อื่น ได้แก่ ผักบุ้ง ผักกระเฉด บัว ผักตบชวา และกระจับ เป็นต้น กินอย่างรวดเร็ว และกินได้ตลอดเวลา โดยสามารถกิน อาหารได้ 50 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวต่อวัน

การป้องกันกำจัดหอยเชอรี่

การป้องกันและกำจัดหอยเชอรี่ให้ประสบผลสำเร็จ
จำเป็นต้องใช้วิธีการต่างๆ ร่วมกัน การใช้สารเคมีเพียง อย่างเดียวจะทำให้การกำจัดไม่ได้ผล อีกทั้งยังต้องใช้สาร
เคมีปริมาณมากขึ้น ดังนั้นเกษตรกรควรคำนึงว่าการป้องกัน และกำจัดหอยเชอรี่ที่ดีที่สุดคือ ใช้วิธีผสมผสาน โดยมีขั้น
ตอนดังนี้
1. ใช้วัสดุกั้นทางที่ไขน้ำเข้านา หอยเชอรี่แพร่กระจาย และระบาดเข้าสู่นาข้าวโดยทางน้ำเท่านั้น ดังนั้น ทุกครั้งที่ สูบน้ำเข้านาไม่ว่าจะเป็นนาดำหรือนาหว่านให้ใช้เฝือกกัน สวะและหอยที่มีขนาดใหญ่ก่อนแล้วจึงกั้นตามอีกชั้นด้วย
ตาข่ายไนล่อนตาถี่ ต้องเก็บหอยและสวะออกจากตาข่าย
เพื่อไม่ให้กีดขวางทางน้ำเข้าอย่างสม่ำเสมอ
2. ทำลายไข่หอย โดยปักไม้รวดตามข้าง ๆ คันนาทุก 10 ก้าว เพื่อล่อให้หอยมาไข่แล้วเก็บออกไปทำลาย รวมทั้ง ไข่ที่อยู่ตามต้นข้าวและวัชพืชข้างคันนาอย่างน้อยสัปดาห์ ละครั้ง ติดต่อกัน 4-6 สัปดาห์ นับแต่ไขน้ำเข้านาในข้อ 1
3. เก็บหอย ที่รอดตายจากการใช้สารฆ่าหอย อย่างน้อย สัปดาห์ละครั้ง โดยใช้กระชอนด้ามยาวซ้อน ซึ่งหอยจะอยู่ บริเวณที่ลุ่มหรือที่ร่มข้างคันนา ทั้งนี้เพราะถ้าปล่อยทิ้งให้ หอยอยู่ในนาข้าวจะกัดกินต้นข้าวและวางไข่ แพร่ลูกหลาน
อีกจำนวนมาก
4. ใช้สารฆ่าหอย เพื่อกำจัดหอยที่ฝังตัวจำศีลอยู่ในนา ตั้งแต่ฤดูปลูกที่ผ่านมา การใช้สารจะต้องใช้ขณะที่มีน้ำใน นาสูง 5 เซนติเมตร ในบริเวณที่ลุ่มหอยมักจะรวมกันเป็น จำนวนมาก ดังนั้นในนาดำจึงควรพ่นสารทันทีหลังปักดำ ส่วนในนาหว่านน้ำตมให้ใช้สารหลังจากข้าวงอกแล้ว และ ไขน้ำเข้านาจนมีระดับน้ำสูงคงที่ 5 เซนติเมตร ควบคุม ระดับน้ำเท่าเดิม ภายหลังใส่สารแล้วอย่างน้อย 2 วันทั้งนี้ เพื่อรักษาความเข้มข้นของสารฆ่าหอยที่ใส่ลงในนาข้าว ถ้า น้ำมากเกินไปปริมาณสารที่หอยได้รับจะไม่เพียงพอที่จะ
ทำให้หอยตาย หากน้ำแห้ง หอยจะปิดฝาทำให้รับสารไม่เต็มที่ หลังจากระยะนี้ผ่านไปแล้ว ถ้าหากเป็นไปได้ควรลดระดับ
น้ำในนาให้ต่ำที่สุดเพื่อป้องกันหอยที่เหลือกัดทำลายต้นข้าว ข้อสำคัญคือควรจะใช้สารเพียงครั้งเดียวต่อฤดูปลูกข้าว
5. ห้ามใช้สารเอ็นโดซัลแฟน เพราะจะทำลายสภาพแวดล้อม

สารฆ่าหอยเชอรี่ที่แนะนำ

1. กากเมล็ดชา เป็นสารที่ได้จากพืชหรือส่วนของพืชบด เป็นผง ใช้หว่านในนาข้าว อัตรา 3 กิโลกรัมต่อไร่ ควรใช้ใน
สภาพที่ไม่มีปลาในนาข้าวเนื่องจากมีพิษต่อปลาสูง
2. นิโคซาไมด์ (ไบลุสไซด์ 70% ดับบลิวพี) อัตรา 50 กรัมต่อไร่ โดยนำสารซึ่งเป็นผงสีเหลืองมาละลายน้ำ และ พ่นด้วยเครื่องพ่นสาร หรือใส่บัวราดน้ำ หรือใช้ภาชนะตักราดลงนาข้าว
3. เมทัลดีไฮด์ (แองโกล-สลัก 5%) หรือเดทมีล 4%
สารชนิดนี้เป็นเหยื่อพิษสำเร็จรูปอัดเม็ดใช้หว่านในอัตรา 0.5 - 1 กิโลกรัมต่อไร่หรือเดทมีล 80% ผง นำมาละลายน้ำ แล้วฉีดพ่นในอัตรา 100 กรัม/ไร่
4. คอปเปอร์ ซัลเฟต (copper sulphate) ใช้ในอัตรา 1 กิโลกรัมต่อไร่ โดยนำมาละลายน้ำใส่บัวรดน้ำหรือใช้
ภาชนะตักราดลงนาข้าว

ปูนา (rice field crab)

วิธีป้องกันกำจัดปูสัตว์ศัตรูข้าวที่สำคัญ
ลักษณะรูปร่างปูนา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Esanthelphusa spp., Sayamia spp.
วงศ์ : Parathelphusidae อันดับ : Decapodae

รูปร่างลักษณะและชีวประวัติปูนา

ปูนา เป็นปูน้ำจืด ทั่วประเทศพบ 10 ชนิด ปูนา Sayamia germani เป็นชนิดที่พบมากในนาข้าวแถบภาคกลาง และกัดกินต้นข้าวกล้าเสียหายทั้งแปลงได้ ถ้ามีประชากรปูนาสูง
ลักษณะรูปร่างปูนาสัตว์ศัตรูข้าวที่ชาวนาต้องระวัง
ลักษณะรูปร่างปูนา

ลักษณะการทำลายของปูนา

ปูนา เป็นศัตรูสำคัญในนาข้าว กัดทำลายข้าวในระยะต้นกล้า โดยกัดกินเฉพาะส่วนที่อ่อนและอวบน้ำ ได้ตลอดทั้งวัน ยกเว้นช่วงมีแดดจัด
ปูนาทำลายต้นข้าวที่ชาวนาต้องรีบป้องกันกำจัด
การทำลายต้นข้าวของปูนา

การป้องกันกำจัดปูนา

ควรใช้หลายวิธีร่วมกัน
1. ดักจับแล้วทำลายหรือใช้เป็นอาหารหรือเหยื่อล่อดักหนู โดยใช้ลอบดักทางน้ำไหล หรือขุดหลุมฝังไหหรือปี๊บ ใส่กะปิ หรือเศษปลาเพื่อล่อปูลงไห
2. ใช้ต้นกล้าข้าวที่แข็งแรงอายุประมาณ 30 วัน มาปลูกแทน
3. ระบายน้ำออกทันทีเมื่อดำนากล้าข้าวตั้งตัวได้
4. ถ้าระบาดมากใช้สารฆ่าปู ตามคำแนะนำ

หนูนาใหญ่ (ricefield rat)

วิธีป้องกันกำจัดหนูนาใหญ่สัตว์ศัตรูข้าวที่สำคัญ
ลักษณะรูปร่างหนูนาใหญ่
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rattus argentiventer (Robinson and Kloss)
วงศ์ : Muridae อันดับ : Rodentia อันดับย่อย : Myomorpha
ชื่อสามัญ : หนูนาท้องขาว, หนูฝ่าย

รูปร่างลักษณะและชีวประวัติหนูนาใหญ่

หนูนาใหญ่ Rattus argentiventer (Robinson and Kloss) ตัวเต็มวัยมีน้ำหนัก 100 - 250 กรัม หางสั้นกว่าหรือเท่ากับความยาวหัวและลำตัวรวมกัน ขนด้านท้องมีสีเงินออกขาว (ภาพ) เพศเมียมีนม 6 คู่ (3 คู่ที่ส่วนอก และ 3 คู่ที่ส่วนท้องด้านล่าง) ตาและใบหูเล็ก ขุดอาศัยตามคันนา หรือคันคลอง มีถ้ำขุดดินที่ปากรู
ลักษณะหนูนาใหญ่ในนาข้าวที่ชาวนาต้องรีบป้องกันกำจัด
ลักษณะหนูนาใหญ่
หนูนาใหญ่เป็นสัตว์ศัตรูของการปลูกข้าว
หนูนาใหญ่

ความสำคัญหนูนาใหญ่

เป็นศัตรูของการปลูกข้าวในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ และยังเป็นพาหะหรือสื่อโรคติดต่อสำคัญสู่คนและสัตว์เลี้ยง เช่น กาฬโรค (plague) เลปโตสไปโรซิส (leptospirosis) สครับไทฟัส (scrub typhus) กัดแทะทำลายข้าวและพืชไร่ตั้งแต่ระยะปลูก จนถึงระยะเก็บเกี่ยว

หนูนาเล็ก (lesser rice field rat)

วิธีป้องกันกำจัดหนูนาเล็กสัตว์ศัตรูข้าวที่สำคัญ
ลักษณะรูปร่างหนูนาเล็ก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rattus losea (Swinhoe)
วงศ์ : Muridae อันดับ : Rodentia อันดับย่อย : Myomorpha
ชื่อสามัญ : หนูนาท้องขาว, หนูฝ่าย

รูปร่างลักษณะและชีวประวัติหนูนาเล็ก

หนูนาเล็ก Rattus losea (Swinhoe) มีขนาดเล็กกว่าหนูนาใหญ่ ตัวโตเต็มวัยมีน้ำหนักประมาณ 77-100 กรัม ขนลำตัวส่วนหลังและตีนหลังมีสีน้ำตาลคล้ำหรือปนดำนุ่มและไม่มีขนแข็งแทรก หางสั้นกว่าความยาวหัวและลำตัวรวมกัน ขนส่วนท้องมีสีเทาอ่อน เพศเมียมีนม 2 คู่ที่ส่วนอก และ 3 คู่ที่ส่วนท้อง ตาและใบหูเล็ก ขุดรูอาศัยตามคันนา และแปลงปลูกพืช
ลักษณะหนูนาเล็กในนาข้าวที่ชาวนาต้องรีบป้องกันกำจัด
ลักษณะหนูนาเล็ก
หนูนาเล็กเป็นสัตว์ศัตรูของการปลูกข้าว
หนูนาเล็ก

ความสำคัญของหนูนาเล็ก

เป็นสัตว์ศัตรูของการปลูกข้าวในภาคกลาง  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ และยังเป็นภาหะหรือรังโรคติดต่อสำคัญสู่คนและสัตว์เลี้ยง เช่น กาฬโรค (plague) เลปโตสไปโรซีส (leptoshirosis) สครับไทฟัส (scrub typhus) กัดแทะทำลายข้าวและพืชไร่ตั้งแต่ระยะปลูก จนถึงระยะเก็บเกี่ยว

หนูท้องขาว (roof rat, ship rat)

วิธีป้องกันกำจัดหนูท้องขาวสัตว์ศัตรูข้าวที่สำคัญ
ลักษณะรูปร่างหนูท้องขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rattus rattus (Linneaus)
วงศ์ : Muridae อันดับ : Rodentia อันดับย่อย : Myomorpha
ชื่อสามัญ : หนูนาท้องขาวบ้าน, หนูหลังคา, หนูเรือ

รูปร่างลักษณะและชีวประวัติหนูท้องขาว

หนูท้องขาว Rattus rattus (Linneaus) มีลักษณะหางยาวกว่าความยาวหัวและรวมกับลำตัว ปีนป่ายได้คล่องแคล่วขนด้านท้องสีขาวหรือสีครีม ตาโตและใบหูใหญ่ อาศัยบนต้นไม้ ป่าหญ้า หรือใต้เพดานของอาคาร ถ้าขุดรูลงในดินไม่มีกองขุยดินที่ปากรู
ลักษณะหนูท้องขาวในนาข้าวที่ชาวนาต้องรีบป้องกันกำจัด
ลักษณะหนูท้องขาว
หนูท้องขาวเป็นสัตว์ศัตรูของการปลูกข้าว
หนูท้องขาว

ความสำคัญของหนูท้องขาว

พบทั่วประเทศ เป็นสัตว์ศัตรูของพืชเศรษฐกิจ และยังเป็นพาหะหรือรังโรคติดต่อสู่คนและสัตว์เลี้ยง เช่น กาฬโรคสครับไทฟัส (srrub typhus) มิวรีนไทฟัส (murine typhus) และโรคอื่นๆ หนูท้องขาวจะกัดแทะทำลายข้าวและพืชไร่ตั้งแต่ระยะปลูก ไปจนถึงระยะเก็บเกี่ยว สำหรับไม้ยืนต้นอื่นๆ จะกัดแทะเปลือกลำต้นหรือกิ่งและส่วนผล

หนูหริ่งนาหางยาว (Ryukyu mouse)

วิธีป้องกันกำจัดหนูหริ่งหางยาวสัตว์ศัตรูข้าวที่สำคัญ
ลักษณะรูปร่างหนูนาหางยาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mus caroli Bonhote (Linneaus)
วงศ์ : Muridae อันดับ : Rodentia อันดับย่อย : Myomorpha

รูปร่างลักษณะและชีวประวัติหนูหริ่งนาหางยาว

สกุลหนูหริ่ง เป็นหนูที่มีขนาดเล็กที่สุด น้ำหนักตัวโตเต็มวัยประมาณ 8-20 กรัม ลักษณะเด่นคือความยาวของฟันกรามซี่แรกด้านบนยาวมากกว่าครึ่งหนึ่งของฟันกรามทั้งแถวฟันแทะคู่บนมีสีน้ำตาลเข้ม มากกว่าหนูหริ่งชนิดอื่นๆ ส่วนฟันแทะคู่ล่างมีสีขาว จมูกสั้น ทำให้ส่วนหน้าทู่ หายยาวกว่าความยาวของหัวและลำตัวรวมกัน หางมี 2 สีชัดเจน สีด้านบนของหางมีสีดำ ด้านล่างมีสีขาว ตีนหลังใหญ่และมีสีเทาปีนป่ายได้ดีกว่าหนูหริ่งหางสั้น ขุดรูอาศัยตามคันนา หรือที่มีหญ้ารก
ลักษณะหนูหริ่งนาหางยาวที่ชาวนาต้องรีบป้องกันกำจัด
ลักษณะหนูหริ่งนาหางยาว

ความสำคัญของหนูหริ่งนาหางยาว

ในประเทศไทยพบเป็นสัตว์ศัตรูสำคัญของข้าวและธัญพืชเมืองหนาว

หนูหริ่งนาหางสั้น (fawn-colored mouse)

วิธีป้องกันกำจัดหนูหริ่งหางสั้นสัคว์ศัตรูข้าวที่สำคัญ
ลักษณะรูปร่างหนูนาหางสั้น
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mus cervicolor Hodgson
วงศ์ : Muridae อันดับ : Rodentia อันดับย่อย : Myomorpha

รูปร่างลักษณะและชีวประวัติหนูหริ่งนาหางสั้น

หนูหริ่งหางสั้น Mus cervicolor Hodgson ฟันแทะคู่บนจะโค้งงอเข้าด้านใน สีของฟันแทะคู่ล่างขาวหรือคล้ำกว่าสีฟันแทะของหนูหริ่งหางยาว สีผิวด้านหน้าของฟันแทะคล้ายกับหนูหริ่งหางยาวแต่อ่อนกว่ามาก จมูกยาวกว่า ทำให้ส่วนหน้าแหลม ตีนหลังขาว หางมี 2 สี แต่อ่อนกว่าหนูหริ่งหางยาวและหางสั้นกว่าความยาวส่วนหัวและลำตัวรวมกัน
ลักษณะหนูหริ่งนาหางสั้นที่ชาวนาต้องรีบป้องกันกำจัด
ลักษณะรูปร่างหนูหริ่งนาหางสั้น

ความสำคัญของหนูหริ่งนาหางสั้น

ในประเทศไทยพบเป็นสัตว์ศัตรูสำคัญของข้าวและธัญพืชเมืองหนาว

หนูพุกใหญ่ (great bandicoot)

วิธีป้องกันกำจัดหนูพุกใหญ่สัตว์ศัตรูข้าวที่สำคัญ
ลักษณะรูปร่างหนูพุกใหญ่
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bandicota indica (Bechstein)
วงศ์ : Muridae อันดับ : Rodentia อันดับย่อย : Myomorpha
ชื่อสามัญ : หนูแผง

รูปร่างลักษณะและชีวประวัติหนูพุกใหญ่

หนูพุกใหญ่ Bandicota indica (Bechstein) มีขนาดใหญ่ที่สุด ตัวโตเต็มวัยหนัก 200-800 กรัม ส่วนมากพบหนักประมาณ 600 กรัม หน้าสั้น ขนตามลำตัวส่วนหลังมีสีดำและจะตั้งขึ้นเห็นได้ชัดเมื่อตกใจ เกษตรกรรู้จักในชื้อ "หนูแผง" เสียงขู่ร้องดังมากในลำคอ ตีนหลังมีสีดำและยาวมากกว่า 50 มิลลิเมตร เพศเมีย มีเต้านมที่อก 3 คู่ ที่ท้อง 3 คู่ ขุยดินที่กองหน้าปากรูทางเข้ามีขนาดใหญ่
ลักษณะหนูพุกใหญ่ที่ชาวนาต้องรีบป้องกันกำจัด
ลักษณะหนูพุกใหญ่

ความสำคัญของหนูพุกใหญ่

พบทั่วประเทศ เป็นสัตว์ศัตรูพืชเศรษฐกิจ และเป็นพาหะหรือรังโรคติดต่อสู่คนและสัตว์เลี้ยง เช่น ฮันต้าไวรัส (Hantaan virus) มิวรีนไทฟัส (murine typhus) เลปโตสไปโรซีส (leptospirosis) เป็นต้น ทำลายข้าวตั้งแต่ระยะปลูกจนถึงระยะเก็บเกี่ยว ชอบขุดรูอาศัยอยู่ตามดงหญ้าคา จอมปลวกคันนาหรือคันคูคลองส่งน้ำ

หนูพุกเล็ก (great bandicoot)

วิธีป้องกันกำจัดหนูพุกเล็กสัตว์ศัตรูข้าวที่สำคัญ
ลักษณะรูปร่างหนูพุกเล็ก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bandicota savilei (Thomas)
วงศ์ : Muridae อันดับ : Rodentia อันดับย่อย : Myomorpha
ชื่อสามัญ : หนูแผง

รูปร่างลักษณะและชีวประวัติหนูพุกเล็ก

หนูพุกเล็ก Bandicota savilei (Thomas) ขนาดเล็กกว่าหนูพุกใหญ่ น้ำหนักตัว 190-250 กรัม หนูจากบางท้องที่ปลายหางมีสีขาว มีเสียงร้องขู่เบาๆ ขุดรูอาศัยในคันดินหรือตามคันคูคลอง และมีกองขุยดินที่ปากรู
ลักษณะหนูพุกเล็กที่ชาวนาต้องรีบป้องกันกำจัด
ลักษณะหนูพุกเล็ก

ความสำคัญของหนูพุกเล็ก

พบมากทางภาคเหนือตอนบนและตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นสัตว์ศัตรูพืชเศรษฐกิจ และเป็นพาหะหรือรังโรคติดต่อสู่คนและสัตว์เลี้ยงเช่นเดียวกับหนูพุกใหญ่ กัดแทะทำลายข้าวและพืชไร่ตั้งแต่ระยะปลูก ไปจนถึงระยะเก็บเกี่ยว

การป้องกันกำจัดหนูสัตว์ศัตรูข้าว

1. การป้องกันกำจัดโดยไม่ใช้สารกำจัดหนู
1.1 การปรับสภาพแวดล้อมบริเวณแหล่งปลูกให้ไม่เหมะสมต่อการอยู่อาศัยของหนู (habitat manipulation)
• ขนาดของคันนาให้เล็กเพื่อลดที่อยู่อาศัยและที่ผสมพันธุ์
• กำจัดวัชพืชหรือกองวัสดุเหลือใช้ตามบริเวณคันนาอยู่เสมอ
1.2 การดัก (trapping) ก่อนการปลูกข้าว โดยใช้กับดักชนิดต่างๆ
1.3 การขุดหนู (digging) สำหรับพื้นที่ปลูกข้าวที่มีแรงงานและเวลามากพอ
1.4 การล้อมหนู (blanketing)
1.5 การใช้ไม้ หรือหนังสติ๊กหรือปืนแก๊ป (shooting)
1.6 ใช้ศัตรูธรรมชาติ (natural enemy) เช่น งู นกแสก นกฮูก นกเค้าแมว พังพอน
2. การป้องกันกำจัดโดยใช้สารกำจัดหนูก่อนการปลูกข้าวเป็นวิธีที่ลดประชากรหนูอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยก่อนปลูกข้าวหรือระหว่างการเตรียมดิน ใช้สารกำจัดหนูประเภทออกฤทธิ์เร็ว (acute rodenticide) เช่น ซิงค์ฟอสไฟด์ (Zinc phosphade : Zn3P2 ซิลมูริน (Silmurine) และสารออกฤทธิ์ช้า (anticoagulant rodenticide) เช่น โฟลคูมาเฟน (สะตอม 0.005%) โบรไดฟาคูม (คลีแร็ต 0.005%)
3. การป้องกันกำจัดหนูระหว่างการปลูกข้าว เช่น ทำรั้วกั้นหรือใช้สารป้องกันกำจัดหนูชนิดออกฤทธิ์ช้า

เครื่องมือดักกำจัดหนู

กับดักตีตายอุปกรณ์ป้องกันกำจัดหนูในนาข้าว
กับดักตีตาย
กับดักด้วงอุปกรณ์ป้องกันกำจัดหนูในนาข้าว
กับดักด้วง
วิธีป้องกันกำจัดหนูโดยวิธีใช้เหยื่อพิษโดยใช้แกลบรองพื้นกลบด้วยเหยื่อพิษ
แกลบรองพื้นและกลบเหยื่อพิษ
วิธีป้องกันกำจัดหนูโดยวิธีใช้เหยื่อพิษกองข้าวเปลือกก่อนหนูกิน
กองข้าวเปลือกก่อนหนูกิน
วิธีป้องกันกำจัดหนูโดยวิธีใช้เหยื่อพิษกองข้าวเปลือกหลังหนูกิน
กองข้าวเปลือกหลังหนูกิน
สารป้องกันกำจัดหนูในนาข้าว
สารกำจัดหนู
สารซิงค์ฟอสไฟด์เป็นสารป้องกันกำจัดหนู
สารซิงค์ฟอสไฟด์

นก (bird)

วิธีป้องกันกำจัดนกสัตว์ศัตรูข้าวที่สำคัญ
นกพบในประเทศไทยมีประมาณ 1,083 ชนิด พบในนาข้าวกว่า 112 ชนิด จัดเป็นนกสัตว์ศัตรูข้าว จากรายงานพบจำนวนนก 14 ชนิด ปัจจุบันนกเป็นสัตว์ศตรูข้าวที่สำคัญ พบบ่อยและทำความเสียหายในนาข้าวมากมี 9 ชนิด ได้แก่ นกกระติ๊กขี้หมู นกกระติ๊กตะโพกขาว นกกระจอกบ้าน นกกระจอกใหญ่ นกกระจอกตาล นกกระจาบธรรมดา นกกระจาบทอง นกเขาใหญ่ และนกพิราบป่า เป็นต้น

ลักษณะการทำลายของนกในนาข้าว

ความเสียหายที่เกิดกับข้าว แบ่งออกได้เป็น ความเสียหายในนาและความเสียหายในยุ้งฉางสำหรับความเสียหายในนาข้าว ในการปลูกข้าวแบบนาหว่าน นกจะเริ่มทำลายและกินเมล็ดพันธุ์ข้าวหลังจากชาวนาหว่านข้าวแล้ว ส่วนสภาพข้าวนาสวน นกจะกินข้าวในแปลงตกกล้าและจะกินต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่ง แม้ว่าข้าวงอกแล้วก็ตาม เนื่องจากเมล็ดข้าวยังมีเอนโดสเปิร์มสำหรับเป็นอาหารของนกได้
ความเสียหายจะเริ่มอีกครั้งตอนระยะข้าวเป็นน้ำนม และสร้างเมล็ด ถ้าต้นข้าวอยู่ในระยะเป็นน้ำนมและมีส่วนเป็นไตแข็งเพียงเล็กน้อย นกจะจิกที่รวงแล้วขบเมล็ดข้าวกินเฉพาะเนื้อแข็งและส่วนเป็นน้ำนม รวงข้าวจะยังมีเมล็ดติดอยู่กับรวง แต่มีรอยแตกเห็นได้ชัด รวงข้าวที่ถูกนกกินจะตั้งขึ้น ถ้าต้นข้าวเลยระยะเป็นน้ำนมจนแข็งหมดทั้งเมล็ดแล้ว นกจะใช้ปากรูดเมล็ดออกจากรวง แล้วคาบเมล็ดขบกินแต่ส่วนเนื้อภายใน ส่วนเปลือกปล่อยทิ้งไว้ใต้ต้นข้าว จากการศึกษาพบว่า ระยะเวลาเฉลี่ยที่กลุ่มนกกระจาบและกลุ่มนกกระติ๊ดเริ่มลงกินข้าวในแปลงนาจนถึงบินขึ้นจากแปลงนาเฉลี่ย 11.26 นาที/ครั้ง โดยลงกินข้าวเฉลี่ย 16 ครั้ง/วัน และช่วงเวลาพบนกศัตรูข้าวมีความหนาแน่นสูง คือ ช่วงเวลา 17.00-18.00 น.
ลักษณะการทำลายนาข้าวของนกชนิดต่างๆ ที่ชาวนาต้องหาวิธีป้องกันกำจัด
ลักษณะการทำลายนาข้าวของนก

การป้องกันกำจัดนกในนาข้าว

1. การใช้คนไล่
2. การใช้เสียงจะทำให้นกตกใจและหนีไป เช่น ใช้ประทัด
3. ใช้การมองเห็น เช่น การใช้สิ่งที่เคลื่อนไหวเมื่อลมพัด หรือสิ่งของที่สามารถสะท้อนแสงได้หรือการใช้หุ่นไล่กา การใช้หุ่นที่เคลื่อนไหวได้จะให้ผลดีกว่าหุ่นที่หยุดนิ่ง และถ้าเคลื่อนไหวพร้อมเสียงด้วยจะได้ผลดีที่สุด
4. การกันไม่ให้นกเข้า เช่น ใช้ตาข่าย
5. การจัดการแปลงนาให้ไม่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของนก  โดยทำการกำจัดหญ้า และวัชพืช รอบคันนา
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
โรงงานพลาสติก L.A PLastic
129/20 หมู่4 ซ.เพชรเกษม99 แยก 5
ต.อ้อมน้อย อ. กระทุ่มแบน
จ.สมุทรสาคร 74130 ประเทศไทย

TEL: 081-903-4147

Email: la2plastic@gmail.com
line qr come ติดต่อโรงงานผลิตพลาสติก
LINE ID: @laplastic
Copyright © 2008 by "L.A PLASTIC"  •  All Rights reserved www.laplastic.biz Tel: 081-9034147