9. การเก็บเกี่ยวผลผลิตยางพารา
สวนยางพาราที่ปลูกไว้หากได้ทำการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง ภายในระยะเวลา 6 ปีเต็ม หรือปีที่ 7 จะสามารถกรีดน้ำยางพาราได้ เป็นการเริ่มต้นการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากสวนยางพารา เป็นการ สร้างรายได้หลังจากลงทุนมานาน ผลผลิตจากยางพารามีน้ำยางพารา เศษยาง เนื้อไม้ ลูกยางพารา และใบ ยางพารา
น้ำยางพารา เป็นผลผลิตหลักที่สร้างรายได้มหาศาลขึ้นอยู่กับราคาของน้ำยางในขณะ กรีด น้ำยางพาราสามารถนำไปแปรรูปเป็นน้ำยางข้น ยางแท่ง หรือยางแผ่นดิบ ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ มูลค่าของน้ำยางพาราในกรณี 1 รอบตัดฟันใช้เวลา 20 ปี สามารถกรีดยางพาราได้ 13 ปี ผลผลิตเฉลี่ยปี ละ 220 ก.ก/ไร่ เป็นผลผลิตคิดเป็นเนื้อยางแห้ง = 13 x 220 = 2,860 กก. ราคาเฉลี่ย (ปี 2567) กก. ละ 69.70.- บาท เป็นรายได้รวม - 199,342.- บาท/ไร่
เศษยางพารา เป็นผลพลอยได้จากการกรีดยาง คือน้ำยางดิบที่จับตัวแข็งก่อนนำไปแปรรูป เป็นผลผลิตอื่น ปริมาณเศษยางจะมีประมาณ 5% ของเนื้อยางในเวลา 13 ปี จะมีผลผลิต - 2,860 x 0.05 - 143 กก. ราคาประมาณครึ่งหนึ่งของยางแห้งประมาณ กก.ละ 35.50 บาท เป็น รายได้รวมประมาณ 5,076.5 บาท/ไร่ เศษยางมีหลายชนิดเช่น
• เศษยางเส้นคือเศษยางที่เกิดจากการแข็งตัวบนหน้ากรีด
• เศษยางกันจอกเป็นเศษที่แข็งตัวในจอกรับน้ำยางซึ่งจะมีมากในช่วงเปิดกรีด ยางพาราใหม่ประมาณ 1 สัปดาห์จะยังไม่เก็บน้ำยางเพราะปริมาณน้ำยางมีน้อย
• เศษยางก้อนเป็นเศษยางที่เกิดในถังรวบรวมน้ำยางมักจะเกิดในกรณีระหว่าง กรีดยางมีฝนตกทำให้มีกรดเกิดขึ้นในจอกรับน้ำยางเมื่อรวบรวมน้ำยางลงถังรวม กรดเหล่านั้นจะติดมาด้วย ทำให้เกิดแข็งตัวในถังจับกันเป็นก้อน
• เศษยางดินเป็นเศษยางที่เกิดจากการไหลบ่าของน้ำยางลงดินจากหน้ากรีด หรือลิ้นยาง สาเหตุอาจจะเกิดจากขณะกรีดมีความชื้นที่เปลือกยางพารา หรือหน้ากรีดเป็นเปลือกที่สองซึ่ง บางมากน้ำยางสามารถล้นออกจากร่องกรีดได้ ส่วนที่ไหลจากลิ้นยางอาจจะเกิดจากหลังกรีดลืมหงายจอก รับน้ำยาง หรือหลังจากเก็บน้ำยางแล้วเจ้าของสวนไม่ให้รับน้ำยางส่วนที่ไหลไม่หมด เศษยางชนิดนี้เมื่อนำไปจำหน่ายต้องแช่น้ำให้ดินละลายออกเหลือแต่เศษยาง
• เศษยางฟองอากาศ เป็นเศษยางที่เกิดจากการนำน้ำยางสดมาแปรรูปเป็นยาง แผ่น ในการผสมน้ำและน้ำกรดลงในตะกง จะมีการกวนให้น้ำยางดิบ น้ำ และน้ำกรดผสมกันให้ทั่วถึง จะมี ฟองอากาศเกิดที่ผิวตะกง ต้องกวาดออกเพราะหากทิ้งไว้จะทำให้ยางแผ่นดิบผิวขรุขระมีตำหนิ ฟองอากาศ ที่กวาดออกมานำไปทำเศษยางเรียกเศษยางฟองอากาศ
• เศษยางก้นถัง เป็นเศษยางที่ตกค้างอยู่ในถังบรรทุกน้ำยางสด เมื่อส่งน้ำยางสด ให้โรงงานแล้วส่วนที่ตกตะกอนจะประกอบด้วยธาตุอาหารของต้นยางเป็นแป้งและโปรตีนมีน้ำยางอยู่บ้าง เล็กน้อย เมื่อนำกลับมาเทลงถังแข็งตัวแล้วจะเป็นเศษยางก้นถัง
• เศษยางก้นถัง เป็นเศษยางที่ตกค้างอยู่ในถังบรรทุกน้ำยางสด เมื่อส่งน้ำยางสด ให้โรงงานแล้วส่วนที่ตกตะกอนจะประกอบด้วยธาตุอาหารของต้นยางเป็นแป้งและโปรตีนมีน้ำยางอยู่บ้าง เล็กน้อย เมื่อนำกลับมาเทลงถังแข็งตัวแล้วจะเป็นเศษยางก้นถัง
เนื้อไม้ยางพารา เป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการกรีดยางพารา เนื้อไม้สามารถ นำไปแปรรูปทำเป็นไม้เพื่อการก่อสร้าง เครื่องเรือน ไม้อัด และเศษไม้ปลายไม้ทำเชื้อเพลิงได้ ราคาเฉลี่ย (2567) ประมาณไร่ละ 30,000.- บาท
ลูกยาง สามารถเก็บขายเพื่อใช้ผลิตเป็นสต็อกต้นตอยางได้ ถ้าต้นยางพารา 1 ไร่ให้ลูกที่นำไปขายได้ประมาณ 10 กก./ปี ในเวลา 13 ปีจะขายได้ 130 กก. ราคาขึ้นอยู่กับความต้องการกล้า ยางพาราในขณะนั้นๆ คิดประมาณ กก.ละ 8.- บาท จะขายลูกยางพาราได้ไร่ละ 1,040.-บาท
ใบยางพารา สามารถนำมาทำผลิตภัณฑ์เป็นของที่ระลึก เช่นดอกไม้ ผีเสื้อ เป็นต้นแต่ใบยาง สดจะไม่ซื้อขายกัน
สรุปรายได้จากผลผลิตยางพารา
จะเห็นได้ว่าผลผลิตที่ทำรายได้หลักคือน้ำยางพาราและเนื้อไม้ ในการเก็บเกี่ยวผลผลิตจะกล่าวใน รายละเอียดของผลผลิต 2 ชนิดนี้
9.1 การเตรียมการก่อนกรีดยางพารา
สวนยางพาราที่ปลูกไว้หากได้ทำการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง ภายในระยะเวลา 6 ปีเต็ม หรือปีที่ 7 จะสามารถกรีดน้ำยางพาราได้ เป็นการเริ่มต้นการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากสวนยางพารา เป็นการ สร้างรายได้หลังจากลงทุนมานาน ผลผลิตจากยางพารามีน้ำยางพารา เศษยาง เนื้อไม้ ลูกยางพารา และใบ ยางพารา
1. เมื่อยางพาราที่ปลูกไว้มีอายุ 6 – 6.5 ปีเต็ม จะต้องทำการตรวจสอบดูว่ายางพาราที่ ปลูกไว้มีขนาดโตที่จะทำการกรีดยางได้ประมาณ ร้อยละเท่าใด โดยการวัดความโตทางเส้นรอบวงที่ระดับ อก ว่ามียางพาราที่โตเกิน 50 ซม.จำนวนเท่าไต ทำเครื่องหมายไว้ให้ชัดเจนโดยอาจจะใช้สีแดงทาไว้เป็น รูปเครื่องหมายไดๆก็ได้ การเปิดกรีดในปีแรกควรมีจำนวนต้นที่ได้ขนาดมากกว่า 50% ของจำนวนปลูก ทั้งหมด ปัจจุบันนิยมกรีดยางพาราหน้าแรกที่ความสูง 75 ซ.ม. ขนาดของลำต้นอาจจะเล็กกว่าเดิมได้บ้าง แต่ไม่ควรต่ำกว่า 45 ซ.ม.หากมีจำนวนต้นที่กรีดได้น้อยกว่า 50% ให้เปิดกรีดในปีที่ 7 ซึ่งสามารถกรีดได้ ทุกต้นแล้ว ยกเว้นต้นที่ปลูกซ่อมในปีที่ 2 และยังมีขนาดเล็ก
2. เจ้าของสวนต้องตัดสินใจว่าน้ำยางพาราที่กรีดได้จะขายน้ำยางสดหรือจะแปรรูปเป็น ยางพาราแผ่นดิบเพื่อจะได้เตรียมอุปกรณ์ได้ถูกต้อง แต่อุปกรณ์ที่ต้องจัดซื้อไม่ว่าจะขายน้ำยางสดหรือทำ ยางแผ่นมี จอกยาง ลวดรับจอกยาง และลิ้นยาง ซึ่งจะต้องใช้กับต้นยางพาราที่จะกรีดทุกต้น จอกยางสำหรับ ยางพันธุ์ดีควรใช้จอกขนาดความจุ 22 ออนซ์ เพราะเมื่อยางพาราอายุประมาณ 10 ปีขึ้นไปน้ำยางจะให้น้ำ ยางมากขึ้นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนจอกยางใหม่ จอกยางมีการผลิตจำหน่ายอยู่ 2 ชนิดคือชนิดที่ ทำจากดินเผาเคลือบ และชนิดที่ทำจากพลาสติก ราคาแตกต่างกัน ชนิดแรกมีราคาสูงกว่าแต่ใช้งานได้นาน ชนิดที่สองราคาถูกกว่าบำรุงรักษาให้ดีสามารถใช้ได้ตลอดรอบดัดฟัน เมื่อซื้อจอกยางมาควรทำเครื่องหมาย เฉพาะเพราะจอกยางนักจะถูกขโมย หรือถ้าซื้อจำนวนมากอาจจะตกลงกับโรงงานผู้ผลิตให้ใส่เครื่องหมาย ของเจ้าของไว้ด้วยก็จะป้องกันการสูญหายได้ จอกยางที่ทำจากพลาสติกมีน้ำหนักเบา หากใช้ในพื้นที่ควน เขา หรือพื้นที่ที่มีลมแรงควรใช้เชือกหรือเอ็นผูกติดไว้กับลวดรับจอกยางด้วย สำหรับอุปกรณ์อื่นๆที่ต้อง เตรียมไว้ตามลักษณะของการขายจะแตกต่างกัน
กรณีขายน้ำยางสด
1 โรงเรือน หรือสิ่งก่อสร้าง
1.1 จะต้องมีสถานที่ชั่งน้ำยางสดเพื่อส่งน้ำยางสดขึ้นรถบรรทุก สวนยางขนาด เล็กไม่ต้องทำอาคาร แต่ถ้าเป็นสวนยางขนาดใหญ่ที่มีผลผลิตมากจะต้องจัดทำหลุมหรือเนินรับน้ำยาง โดยมี ถังรับน้ำยางจากผู้กรีดเพื่อรอถ่ายลงรถบรรทุกสถานที่นี้ผู้กรีดยางพาราจะเรียกว่าลานเท สถานที่ก่อสร้าง ควรเป็นเนินเขาหรือที่สูง
2 วัสดุอุปกรณ์
2.1 ตาชั่ง ใช้ตาชั่ง 2 ชนิด ชนิดที่ 1 เป็นตาชั่งชั่งน้ำหนักยางสดจากผู้กรีด นิยมใช้ตาชั่งขนาด 100 กก. แบบแขวน ตาชั่งชนิดที่ 2 เป็นตาชั่งขนาดเล็กสำหรับชั่งตัวอย่างน้ำยางเพื่อหาค่าเนื้อยางแห้ง นิยมใช้ตาชั่ง ดิจิตอล ขนาด 500 กรัม
2.2 ถังชั่งน้ำยาง เป็นถังทรงกลมจัดทำจากสแตนเลส เพื่อความทนทานและ ไม่เป็นสนิม ขนาดบรรจุประมาณ 60 ลิตร มีหูสำหรับเกี่ยวกับตะขอของตาชั่ง
2.3 ถ้วยเก็บตัวอย่างน้ำยางสด เพื่อนำไปหาค่าเนื้อยางแห้งหรือ DRC (Dry Rubber Content) เป็นถ้วยพลาสติกหรือแก้วพลาสติกขนาดเล็กมีความจุประมาณ 100 cc. มีฝาปิด
2.4 เครื่องรีดยางแผ่นขนาดเล็ก ใช้สำหรับรีดแผ่นตัวอย่างเพื่อนำไปอบให้
แห้ง
2.5 ตู้อบ ใช้สำหรับอบตัวอย่างยางพาราแผ่นดิบ ขนาดพอเหมาะสมกับ จำนวนตัวอย่าง ตู้อบนี้อาจจะจัดซื้อสำเร็จรูป หรือดัดแปลงทำขึ้นเองก็ได้ โดยให้ความร้อนจากหลอดไฟฟ้า 100 แรงเทียนหลายๆ ดวง ด้านในมีราวสำหรับแขวนตัวอย่างยางแผ่นดิบ
กรณีแปรรูปเป็นยางพาราแผ่นดิบ
1 โรงเรือน หรือสิ่งก่อสร้าง
1.1 อาคารแปรรูปน้ำยางพารา เป็นอาคารที่นำน้ำยางสดมาดำเนินการแปรรูปภายในจะ ประกอบด้วย ลานพักน้ำยางสด บ่อเก็บน้ำ ส่วนที่วางตะกงผสมน้ำยางกับกรดฆ่ายาง ลานนวดยางพาราที่ แข็งตัวแล้ว ส่วนของจักรรีดยาง ขนาดของโรงงานจะแปรตามผลผลิตรายวันสูงสุด ดังตัวอย่าง
ก. คำนวณขนาดลานพักน้ำยางสด เจ้าของโรงงานมีสวนยางพาราที่จะนำมาแปร รูป 100 ไร่ จัดระบบกรีด 1/2 ลำต้น กรีด 1 วันเว้น 1 วัน ในแต่ละวันจะกรีดยางพาราได้ 50 ไร่ จะได้ ผลผลิตสูงสุดวันละ 12 ลิตรต่อไร่ คนงาน 1 คนกรีดยาง 10 ไร่ พื้นที่ 50 ไร่ ใช้คนงาน 5 คน จะเป็น ผลผลิตน้ำยางสดทั้งหมด - 120 x 5 - 600 ลิตร ภาชนะใส่น้ำยางสดใช้ถังมีฝาปิด ขนาด 60 ลิตร จะต้องมีถังมาวางอยู่ในลานพักน้ำยางสด 10 ถัง ถัง 1 ใบมีพื้นที่ก้นถังประมาณ 800 ซ.ม. 10 ถังใช้ พื้นที่ 8,000 ซ.ม. หรือ 0.8 ม. จัดพื้นที่ให้ว่างไว้เพื่อคนกรีดยางเดินทำงานประมาณ 100% รวม พื้นที่ส่วนลานพักน้ำยางสดจะใช้พื้นที่ประมาณ 1.6 ม.
ข. คำนวณลานวางตะกง หากใช้ตะกงถาดแปรรูปจะใช้น้ำยางสด 3 ลิตรต่อ 1 ตะกง น้ำยางพาราจำนวน 600 ลิตร ต้องใช้ตะกง 200 ใบ ตะกง 1 ใบใช้พื้นที่ประมาณ 1,350 ซ.ม. จำนวน 200 ใบใช้พื้นที่ 270,000 ซ.ม. หรือ 27 ม. รวมพื้นที่ว่างสำหรับคนเดินทำงานประมาณ 3 ม.” เป็นพื้นที่ในส่วนนี้ 30 ม. หากใช้ตะกงรางหมูขนาด 50 แผ่น จะใช้พื้นที่ตะกงละ 600 ซ.ม. ใช้ตะ กงจำนวน 4 ชุดใช้พื้นที่วางตะกง 2,400 ซ.ม. หรือ 0.24 ม.
ค. คำนวณลานนวดยางพารา ใช้เป็นที่นวดยางพาราที่แข็งตัวจากตะกงให้บาง และแผ่กว้างออกเพื่อนำเข้าเครื่องรีดยาง คนกรีดยาง 1 คนจะใช้พื้นที่ประมาณ 1 ม. จำนวน 5 คนใช้ พื้นที่ 5 ม.
ง. คำนวณพื้นที่จักรรีดยาง ยางพาราจำนวน 200 แผ่นใช้จักรรีดยางชนิดหมุน ด้วยมือจำนวน 1 ชุดประกอยด้วยจักรรีดลื่น 3 ตัวและจักรตอก 1 ตัว ใช้พื้นที่สำหรับวางจักรและแผ่นยาง ก่อนรีด หลังรีดประมาณ 8 ม.
จ. คำนวณพื้นที่บ่อเก็บน้ำ บ่อเก็บน้ำควรกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ เพราะต้องใช้แทบ ทุกขั้นตอนของการแปรรูปมีพื้นที่ประมาณ 10% ของพื้นที่อื่นๆ รวมกันในกรณีนี้ประมาณ 4.46 ม.
รวมพื้นที่โรงงานทั้งหมด 49.06 ม. หรือเทียบเป็นร้อยละจะได้สานพักน้ำยาง สด 3.23% ลานวางตะกง 61.15% ลานนวดยางพารา 10.19% พื้นที่จักรรีดยาง 16.30% และ พื้นที่บ่อเก็บน้ำ 9.13%
1.2 ลานผึ่งยางแผ่นดิบที่ทำการแปรรูปแล้ว เป็นบริเวณที่นำยางพาราแผ่นดิบที่แปรรูป แล้วมาผึ่งแดดเพื่อให้น้ำที่ติดมากับยางพาราแผ่นดิบแห้งเพื่อจะได้เก็บไว้รอจำหน่ายต่อไป ปกติใช้ลาน กลางแจ้ง แต่พื้นที่ต้องคำนวณตามจำนวนยางพาราแผ่นดิบที่ผลิตได้ จะทำราวด้วยไม้ไผ่ที่หาได้ในท้องถิ่น แต่ละราวห่างกันพอที่คนงานจะเดินเข้าไปได้ ไม้ไผ่ที่หาได้ จะมีความยาวโดยเฉลี่ย 6 เมตร ใน 1 ราวจะฝั่ง ยางพาราแผ่นละ 1 กก.ได้ประมาณ 12 แผ่น ในแต่ละวันผลิตยางพาราได้จำนวน 200 แผ่นต้องมีราวฝั่ง ยางประมาณ 17 ราว
เจ้าของสวนยางพาราบางคน ต้องการจะเพิ่มคุณภาพยางพาราแผ่นดิบจะไม่พึ่งยางพารา แผ่นดิบในที่โล่งแต่จะใช้วิธีผึ่งลมแทนก็จำเป็นต้องสร้างอาคารฝั่งยางขึ้นอาคารอาจจะเป็นหลังเดียวกับโรง เก็บยางพาราแผ่นดิบก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นหลังเดียวกับโรงานแปรรูปน้ำยางพารา เพราะในอาคารนั้นมิ
1.3 โรงอบยาง เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อปรับปรุงคุณภาพของยางแผ่นดิบ การพึ่งยาง แผ่นดิบเพื่อขับไล่ความชื้นด้วยแสงแดด มักมีปัญหามีน้ำหลงเหลืออยู่ในแผ่นยางแผ่นดิบเพราะขณะฝั่งยาง แสงแดดจะเผาผิวยางให้เหนียวน้ำที่คงเหลือในแผ่นจึงออกมาไม่หมด หรือแม้แต่การฝั่งด้วยลมในบางครั้ง อากาศชิ้นเกินไปน้ำที่ตกค้างในแผ่นยางพาราก็ออกมาไม่หมดเช่นกัน การที่น้ำคงเหลือในแผ่นยางพารามาก จะทำให้มีเชื้อราในแผ่นยางพาราเมื่อนำไปจำหน่ายชั้นคุณภาพจะต่ำลง จึงแก้ปัญหาด้วยการสร้างโรงอบ ยางพาราขึ้น ลักษณะโรงอบยางพาราแบบง่ายๆ คือโรงอบยางพลังแสงอาทิตย์ เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมมุง หลังคาด้วยสังกะสี กั้นทึบด้วยแผ่นสังกะสี มีประตูเข้าออกด้านหัวอาคาร แผ่นสังกะสีที่ใช้กั้นและมุงหลังคา ทาสีดำทั้งด้านนอกและด้านใน พื้นด้านล่าง และฝาด้านบนปล่อยให้ลมพัดผ่านได้โดยเว้นช่องประมาณ 10 ซ.ม. ราวที่ใช้แขวนแผ่นยางทำเป็นราว 3 ชั้นสูงประมาณ 1.6 เมตร แต่ราวห่างกันประมาณ 50 ซ.ม. เพื่อให้คนงานสามารถข้าทำงานได้สะดวก
ภาพการจัดราวผึ้งยางในโรงอบ
ขนาดของโรงอบขึ้นอยู่กับจำนวนผลผลิตยางแผ่นดิบแต่ละวัน และจำนวนวันที่จะอบ ปกติจะอบประมาณ 7 วัน ในกรณีมีผลผลิตสูงสุดวันละ 200 แผ่น จำเป็นต้องสร้างโรงอบให้มีความจุ 1,400 แผ่น ยางพาราแผ่นดิบแขวนบนราว 3 ชั้น 3 แผ่นใช้พื้นที่ความกว้างของแผ่น 50 ซ.ม. ช่องว่าง ระหว่างราว 50 ซ.ม. ใช้พื้นที่ - 50 x 50 ซ.ม. - 2.500 ซ.ม. ยางพาราจำนวน 1,400 แผ่นต้องใช้อย่างไรก็ตามเจ้าของสวนยางขนาดเล็กอาจจะไม่จำเป็นต้องสร้างโรงอบยางนี้
1.4 โรงเก็บยางแผ่นดิบ เป็นอาคารสำหรับเก็บยางแผ่นดิบที่ฝั่งแห้งแล้ว หรืออบแห้ง แล้วไว้เพื่อรอการจำหน่าย ยางพาราแผ่นดิบที่พึ่งแห้งแล้วควรเก็บไว้อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนนำออกไป จำหน่าย การนำยางพาราแผ่นดิบโดยทั่วไปเจ้าของสวนจะต้องทำการขนส่งเอง การจะไปจำหน่ายแต่ละ ครั้ง จึงต้องคำนึงถึงยานพาหนะที่ใช้บรรทุกด้วย หรือในกรณีราคายางพาราแผ่นดิบผันผวน อาจจะเก็บไว้ เพื่อตรวจสอบราคาก่อนก็ได้ ยางแผ่นดิบที่แห้งแล้วไม่ควรเก็บไว้เกิน 2 สัปดาห์ เพราะความชื้นในอากาศ จะเกาะตามผิวของแผ่นยางพาราทำให้คุณภาพต่ำลง
ลักษณะของโรงเก็บยางแผ่นดิบเป็นอาคารมุงหลังคาด้วยสังกะสี หรือกระเบื้อง ฝาผนังเปิด โล่งให้อากาศถ่ายเทได้ดี อาจจะกั้นด้วยตาข่ายลวดขัด เพื่อป้องกันการขโมยยางแผ่นดิบ ฝาผนังส่วนล่างควร ก่ออิฐหรือปูน ด้านในทำราวคานรับราวแขวนยางพาราด้วยเหล็กท่อกลม เพื่อสะดวกในการเลื่อนราวให้ชิด ห่างกันได้ ปกติราวในโรงเก็บจะวางห่างกัน 10 ซ.ม. แบ่งชั้นการวางคานเป็น 5 – 6 ชั้น ขนาดของตัว อาคารขึ้นอยู่กับจำนวนยางพาราที่จะนำเข้าไปเก็บไว้ หากตัดสินใจว่าจะนำยางพาราที่แห้งแล้ว ไปจำหน่าย 2 สัปดาห์ต่อครั้ง ยางพาราที่ต้องเก็บไว้ในโรงจะเป็นผลผลิตที่ยังไม่แห้งพร้อมขายด้วยประมาณ 1 สัปดาห์ โรงเก็บยางพาราจะต้องเก็บผลผลิตได้สูงสุดประมาณ 3 สัปดาห์ ตามกรณีตัวอย่างจะเป็นจำนวนยางแผ่น ดิบที่เก็บไว้ = 200 x 21 = 4,200 แผ่น หากทำราวเก็บ 5 ชั้น ยางพารา 5 แผ่นใช้พื้นที่ = 50 x 10 - 500 ซ.ม.2 ยางพาราจำนวน 4,200 แผ่น ต้องใช้พื้นที่ = 4,200/5 x 500 = 42 ม.2 สำรองเผื่อทางเดิน ลานชั่งน้ำหนักยางแผ่นดิบ วางก้อนยางที่มัดแล้วประมาณ 18 ม. รวมพื้นที่ 60 ม.2
1.5 แหล่งน้ำ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญในขบวนการผลิตยางพาราแผ่นดิบ ในการผสมกับ น้ำยางสดเพื่อแปรรูปยางพาราแผ่นดิบ ใช้น้ำอย่างน้อย 2 ลิตร และใช้ล้างโรงงาน ล้างภาชนะ ตลอดจน เครื่องจักรและอุปกรณ์ด้วย การแปรรูปยางพารา 1 แผ่นต้องใช้น้ำอย่างน้อย 5 ลิตร หากแปรรูปยางพารา วันละ 200 แผ่น จะต้องมีแหล่งผลิตน้ำอย่างน้อย 1,000 ลิตร แหล่งน้ำอาจจะได้จาก น้ำประปา น้ำบ่อบ่อบาดาล หรือสระน้ำ เจ้าของต้องเตรียมไว้ให้พร้อม
1.6 ระบบส่งน้ำสู่โรงงาน ควรจะมีหอถังน้ำ เครื่องสูบน้ำ วางระบบประปาสู่โรงงาน
1.7 บ่อบำบัดน้ำเสีย น้ำเสียที่ได้จากการแปรรูปยางพาราแผ่นดิบต้องไม่ปล่อยสู่ลำ ห้วย คลองสาธารณะควรทำบ่อบำบัดโดยค่อยให้ไหลซึมลงดิน
2. เครื่องจักรและอุปกรณ์
2.1 ตะกง สำหรับจัดทำยางแผ่นดิบ มีทั้งตะกงแบบถาดมีความจุประมาณ 5 ลิตร และ ตะกงแบบรางหมูในกรณีมีจำนวนน้ำยางมากๆ ตะกงแบบถาดจัดทำจากอะลูมิเนียม เป็นรูปถาด สี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ 30 ซ.ม. ยาว 45 ซ.ม. ลึกประมาณ 4-5 ซ.ม. ปากตะกงจะทำให้กว้างกว่า
ตะกงรางหนู สำหรับใช้กรณียางพาราแผ่นดิบที่จะจัดทำมีจำนวนมาก จัดทำจากการหล่อด้วยคอนกรีตลักษณะเป็นถังสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดขึ้นอยู่กับจำนวนยางแผ่นที่ต้องการแปรรูปโดยทั่วไปจะใช้ ขนาด 50 แผ่น ซึ่งจะมีขนาดความจุโดยประมาณ 250 ลิตร กว้างประมาณ 50 ซม.ยาว 120 ซม.และลึก ประมาณ 45 ซม.ภายในตะกงทำร่องไว้จำนวน 49 ร่องสำหรับเสียบแผ่นกั้นให้เป็นช่อง ซึ่งจะมีจำนวน ช่องทั้งหมด 50 ช่องแต่ละช่องจะกว้างประมาณ 2.4 ซ.ม. แผ่นเสียบกั้นระหว่างช่องนิยมใช้แผ่นสแตนเลส เพื่อความทนทานต่อการกัดเซาะของน้ำกรดฆ่ายาง
2.2 จักรรีดยาง สำหรับรีดยางพาราที่แข็งตัวในตะกงแล้วให้เป็นยางพาราแผ่นดิบ มีทั้ง จักรที่หมุนด้วยมือและจักรชุด ประกอบด้วย จักรรีดลื่นและจักรดอก จักรที่หมุนด้วยมือ 1 ชุดประกอบด้วย จักรรีดลื่น 1 ตัวและจักรดอก 1 ตัว จะสามารถใช้แปรรูปยางพาราแผ่นดิบได้ประมาณ 50 แผ่น ต่อ 1 ชั่วโมง จักรกริดยางชนิดเป็นชุดจะประกอบด้วยจักรรีดลื่น 4 ตัว และจักรรีดดอก 1 ตัว ประกอบไว้ด้วยกัน ใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า หรือเครื่องฉุด 10 แรงม้า
2.3 ถังกรองน้ำยาง เป็นถังทรงกลมสูงประมาณ 50 ซ.ม. มีความจุประมาณ 60 ลิตร เป็นถังที่ใช้รองน้ำยางที่กรองสิ่งสกปรกออกจากน้ำยางสด
2.4 เครื่องกรอง แผ่นกรองเป็นตาข่ายเหล็กขนาด 40 และ 60 ช่องต่อหนึ่งตารางนิ้ว เรียกขนาดว่าเบอร์ 40 และเบอร์ 60 กรวยกรอง ทำจากสังกะสีแผ่นเรียบ
2.5 ใบพายกวนน้ำยาง ทำจากแผ่นพลาสติก ขนาดประมาณ กว้าง 6 x 6 นิ้ว กลาง แผ่นเจาะเป็นรูให้น้ำยางไหลผ่านได้
2.6 น้ำกรด ใช้แปรรูปน้ำยางพาราเป็นยางพาราแผ่นดิบ มีจำหน่าย 2 ประเภท คือกรดจากสารเคมี และกรดอินทรีย์ กรดชนิดแรกทำให้เนื้อยางพาราแผ่นดิบเปื่อยยุ่ยได้ง่าย และน้ำเสียจากการ แปรรูปทำลายสภาพแวดล้อม กรดชนิดที่สองไม่ทำลายยางแผ่นดิบและสิ่งแวดล้อมแต่อาจจะก่อให้เกิดรา ตามผิวยางพาราหากผึ้งแผ่นยางไม่แห้งสนิท และราคาของกรดชนิดหลังสูงกว่าชนิดแรก
จากรายละเอียดของการเตรียมสิ่งก่อสร้างและอุปกรณ์ที่ได้กล่าวมาแล้วพอจะเป็นข้อมูล สำหรับเจ้าของสวนยางพาราว่าจะตัดสินใจจำหน่ายน้ำยางพาราในลักษณะใด การขายน้ำยางสดไม่ยุ่งยาก ละเอียดอ่อนเหมือนการแปรรูปยางพาราแผ่นดิบ การใช้ทุนรอนในเบื้องต้นต่ำกว่า แต่ราคาขายน้ำยางสดก็ ต่ำกว่ายางแผ่นดิบ กก.ละประมาณ 2-4 บาท หากราคายางแผ่นดิบ กก.ละ 40.-บาท ราคาน้ำยางสดจะ ประมาณ 38-36.-บาท เท่านั้น หรือน้อยกว่าประมาณ 5-10% ถ้าเจ้าของสวนเป็นสวนขนาดเล็ก มีเวลา กรีดยางและแปรรูปเองทุกขั้นตอน ในระยะยาวการแปรรูปเป็นยางพาราแผ่นดิบจะมีผลกำไรสุทธิมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ราคาของน้ำยางสด และยางพาราแผ่นดิบก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดเช่นกัน บ่อยครั้งที่ปรากฏว่าราคาน้ำยางสดสูงกว่ายางพาราแผ่นดิบ ดังนั้นทางที่ชาญฉลาด เจ้าของสวนยางพาราที่มี พื้นที่มาก ควรสร้างโรงงานแปรรูป และขายน้ำยางสดไปพร้อมกัน สินค้าใด ราคาดีก็ผลิตเป็นสินค้านั้นๆ ตามความต้องการของตลาด
9.2 การกรีดยาง
1. ระบบการกรีดยาง มีหลายระบบ
• เปิดหน้ากรีด 1/4 ของลำต้น กรีด 4 วัน หยุด 1 วัน
• เปิดหน้ากรีด 1/3 ของลำต้น กรีด 2 วัน หยุด 1 วัน
• เปิดหน้ากรีด 12 ของลำต้น กรีด 1 วัน เว้น 1 วัน
เจ้าของสวนยางขนาดเล็ก โดยทั่วไปนิยมกรีดในระบบที่ 2 คือเปิดหน้ากรีด 1/3 ของลำต้น กรีด 2 วัน หยุด 1 วัน แต่จากการวิจัยของสถาบันวิจัยยางพบว่าระบบการกรีดยางที่ให้ผลผลิต เป็นน้ำหนักแห้งต่อพื้นที่ต่อปีมากที่สุดคือระบบที่ 3 เปิดหน้ากรีด 2 ของลำต้น กรีด 1 วัน เว้น 1 วัน โดย มีผลผลิตเฉลี่ยในยางพาราทุกชนิดพันธุ์ ดังนี้
มักมีเจ้าของสวนยางพาราบางคนเปลี่ยนแปลงระบบกรีดที่แนะนำ โดยการกรีด ครึ่งลำต้น กรีด 2 วัน เว้น 1 วัน เป็นผลเสียมากกว่าผลดี เพราะอาจจะทำให้จำนวนวันกรีดมากขึ้นและ ยางพาราจะหมดหน้ากรีดตั้งแต่อายุประมาณ 16 ปี และผลผลิตเป็นน้ำหนักแห้งจะน้อยกว่างานวิจัยเมื่อครบรอบตัดฟัน อย่างไรก็ดีหากจะใช้จำนวนวันกรีด 2 วันดังกล่าวสำหรับหน้ากรีดที่ 2 เมื่อต้นยางโตขึ้น ก็ควรจะปรับหน้ากรีดเพียง 1/3 ของลำต้น เพื่อลดการสิ้นเปลืองหน้ากรีดลง ผลผลิตที่ได้ก็ไม่ลดลงมากนัก เมื่อครบรอบตัดฟัน
2. การแบ่งเบอร์กรีดและการจัดคนกรีด เบอร์กรีด 1 เบอร์ ใช้พื้นที่ 10 ไร่ ซึ่ง จะมียางพารารอดตายอยู่ประมาณ 600 ต้น คนงานหนึ่งคน กรีดยางพารา 2 เบอร์ โดยวันแรกกรีตเบอร์ที่
ภาพการแบ่งพื้นทึกรีดเป็น 2 ส่วน
จากภาพตัวอย่าง ผู้กรีดยางคนที่ 1 จะกรีด เบอร์ที่ 1 ในตอนที่ 1 และกรีดเบอร์ 9-16 ในตอนที่ 2 เบอร์ใดเบอร์หนึ่งก็ได้ แต่เพื่อความเหมาะสมควรจัดให้กรีดเบอร์ 9 เพื่อจะได้ช่วยดูแลเบอร์ที่ 1 ด้วยว่าใน วันที่หยุดกรีดจะมีผู้ใดนาขโมยกรีดหรือไม่ ซึ่งหากใช้หลักการนี้ก็จะแบ่งเบอร์กรีดให้คนกรีดยาง ดังนี้
3. ข้อปฏิบัติของผู้กรีดยางพาราในแปลงกรีด ผู้กรีดยางจะต้องปฏิบัติในเรื่อง
ต่างๆ ดังนี้
ก. ตำแหน่งที่จะทำการเปิดกรีดยางพารา โดยทั่วไปจะเปิดกรีดที่ระดับความสูง 1.50 เมตรเหนือรอยเท้าช้าง แต่จากการวิจัยของสถาบันวิจัยยาง แนะนำว่าเฉพาะหน้ากรีดแรกให้เปิดกรีด ที่ความสูง 75 ซ.ม. เหนือรอยเท้าช้างจะเหมาะสมที่สุด
ข. กรีดยางจากซ้ายบนมาขวาล่าง ให้มีความลาดเอียงของหน้ากรีด ประมาณ 35 องศา ก่อนเปิดกรีดจะต้องทำรอยขีด หน้าหลัง เพื่อไม่ให้หน้ากรีดล้ำไปด้านหนึ่งด้านใด และนำลวดรับ จอกยางมาผูกไว้ต่ำจากหน้ากรีดประมาณ 6 - 8 นิ้ว ในร่องรอยขีดด้านหน้าต่ำกว่าหน้ากรีดประมาณ 4 นิ้วให้ปีกลิ่นยางเพื่อรับน้ำยางลงจอกรับน้ำยาง
ค. การกรีดยางแต่ละครั้ง ต้องสูญเสียเปลือกน้อยที่สุด ไม่เกินครั้งละ 2-3 มิลลิเมตร ในหนึ่งเดือนสูญเสียเปลือกไม่เกิน 3 ซ.ม.
ง. กรีดยางทุกวันที่ฝนไม่ตกระหว่างเวลา 04.00 - 06.00 น. เริ่มเก็บน้ำ
ยาง 06.00 - 08.00 น. วันไหนกรีดยางไม่ได้ให้แจ้งให้เจ้าของสวนยางพาราทราบ การเปิดกรีดยาง สัปดาห์แรก ให้หงายจอกรับน้ำยางไว้เพื่อทำเศษยาง เมื่อน้ำยางเริ่มไหลดีแล้วจึงเก็บน้ำยางสดส่งจุดชั่งใน กรณีขายน้ำยางสดหรือนำไปแปรรูปที่โรงงานกรณีทำยางแผ่นดิบ หลังการเก็บน้ำยางแต่ละครั้ง ให้คว่ำ จอกไว้ที่ลวดรับน้ำยาง แม้จะมีน้ำยางไหลอยู่ก็ตาม เพื่อป้องกันกรดในอากาศ หรือที่มาพร้อมน้ำฝนไป ตกค้างอยู่ในจอกยาง ซึ่งจะทำให้จอกยางสกปรกทำให้น้ำยางที่กรีดวันต่อไปแข็งตัวในจอกได้
จ. ไม่กรีดยางในวันที่ฝนตกจนหน้ากรีดเปียกชิ้น
ฉ. เศษยางทุกประเภทเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นให้รวบรวมส่งเจ้าของสวนยาง
ยางพาราเพื่อนำไปจำหน่ายแบ่งผลประโยชน์ตามข้อตกลง
ช. ผู้กรีดยางต้องทายาป้องกันเชื้อราผสมดินในหน้ากรีดที่ผ่านมาแล้วทุกเดือน
ซ. อุปกรณ์ที่ใช้ในการกรีดยางอันได้แก่ มีดกรีดยาง หินลับมีดกรีดยาง เครื่องให้ แสงสว่างในเวลากลางคืน ถังเก็บรวบรวมน้ำยางสด เป็นอุปกรณ์ส่วนตัวที่ผู้กรีดยางต้องหามาด้วยตนเอง
9.3 การเก็บรวบรวมน้ำยางสด
ต้นยางพาราที่ได้ทำการกรีดยางทุกต้นจะมีน้ำยางสดไหลลงจอกยางพารา หรือ ถ้วยรองน้ำยางพารา ที่หงายรับไว้ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ส่วนใหญ่จะหยุดไหล ช่วงเวลาการไหลขึ้นอยู่กับอุณหภูมิในแปลงกรีดด้วย หากเป็นช่วงอากาศหนาวเย็นจะไหลนานกว่าช่วงอากาศร้อน ผู้กรีดยางจะต้องใช้การสังเกตเอง เมื่อน้ำยางพาราส่วน ใหญ่หยุดไหลแล้วผู้กรีดยางพาราจะเก็บน้ำยางพาราลงถังเก็บ ซึ่งเป็นถังปากกว้างเท่ากันถัง เมื่อเก็บน้ำยาง หมดทุกต้นแล้ว จึงเทใส่ถังที่มีฝาปิดเพื่อการขนส่งต่อไป
ถังและแกลลอนใส่น้ำยางพารา
9.4 การแปรรูปยางพารา
การแปรรูป จะกล่าวเฉพาะการทำยางแผ่นดิบเท่านั้น เพราะการจำหน่ายน้ำยางสด เมื่อรวบรวมน้ำยางได้แล้วก็จะเข้าสู่ขบวนการจำหน่ายต่อไป การทำยางแผ่นดิบจะต้องมีขั้นตอนหลังเก็บน้ำ ยางพาราแล้ว
1. การขนส่งน้ำยางพาราจากแปลงกรีดมายังโรงงานแปรรูป หากเจ้าของสวนยางพารา ขนาดเล็กดำเนินการเองเมื่อเก็บน้ำยางพาราแล้วก็จะขนน้ำยางพาราสดมายังโรงงาน โดยการหาบ หาม หรือบรรทุกด้วยยานพาหนะชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่ในกรณีสวนยางพาราพื้นที่มาก และจ้างคนกรีดยางพารา เจ้าของสวนยางพาราจะต้องตกลงกับผู้กรีดว่าใครมีหน้าที่ขนส่ง หากเจ้าของสวนยางพาราจะขนส่งเอง จะต้องจัดยานพาหนะให้เหมาะสมกับน้ำยางสดที่กรีดได้ในแต่ละวัน ตัวอย่างเจ้าของสวนมิสวนยางพารา 100 ไร่ ผลผลิตสูงสุดวันละ 600 ลิตร บรรจุในภาชนะขนาด 60 ลิตร จำนวน 10 ถัง ใช้พื้นที่วางถัง 0.8 ม. ผู้กรีดยางพาราอาจจะเดินทางมาด้วย กรณีเช่นนี้ใช้รถบรรทุกเล็ก หรือรถปิกอัพขนส่งก็เพียงพอต้องนัดหมายเวลาไปรับเพื่อผู้กรีตจะได้เดินทางมาพร้อมกัน แต่ถ้าพื้นที่ปลูกสร้างสวนยางพาราอยู่ใกล้เคียง กับโรงงานแปรรูปโดยห่างกันไม่เกิน 2 กม. ผู้กรีดจะนิยมขนยางพารามาโรงงานเอง
2. การดำเนินงานแปรรูป เริ่มต้นจากกรองน้ำยางพาราด้วยกรองเบอร์ 40 เพื่อกรองเอา ตะกอนหยาบออกจากน้ำยาง โดยเครื่องกรองจะติดตั้งไว้ที่ถังกรอง เทน้ำยางสดจากถังรวมน้ำยางที่มีฝาปิด ผ่านกรองลงถังรับน้ำยาง เมื่อกรองด้วยกรองเบอร์ 40 แล้วต่อไปให้ทำการกรองอีกครั้งด้วยกรองเบอร์ 60 เพื่อดักเศษตะกอนละเอียดที่แฝงมากับน้ำยางสด ต้องใช้ถังกรองอีก 1 ใบ ในระหว่างทำการกรองบางครั้ง น้ำยางสดขั้นเกินทำให้ไหลผ่านกรองไม่สะดวก อย่าใช้มือกวนน้ำยางสดบนกรองเพราะจะทำให้ตะกอนที่ ดักไว้แล้วหลุดพ้นกรองไปได้ ให้ใช้น้ำสะอาดผสมลงไปน้ำยางสดจะไหลดีขึ้น ในกรณีแปรรูปด้วยคะกง รางหมู การกรองครั้งที่สองกรองลงตะกงได้เลย
3. ทำความสะอาดตะกงที่จะแปรรูป หงายวางเป็นแถวให้พอดีกับจำนวนน้ำยางสด โดย หนึ่งตะกงถาดจะใส่น้ำยางพาราประมาณ 3 ลิตร เมื่อตะกงสะอาดเรียบร้อยแล้วนำน้ำยางสดที่ผ่านการ กรองแล้วมาตวงด้วยถังตวงน้ำยางขนาด 1 ลิตร ใส่ทุกตะกงตะกงละ 3 ลิตร เมื่อน้ำยางหมดแล้วหากตะกง สุดท้ายน้ำยางสดมีไม่ถึง 3 ลิตร อาจจะแบ่งจากตะกงอื่นมาใส่เฉลี่ยให้เท่าๆ กันหรืออาจจะใช้น้ำยางที่เหลือเพิ่มให้ทุกตะกงก็ได้
ถ้าเป็นตะกงรางหมูขนาด 50 แผ่นให้เทน้ำยางลงตะกองจำนวน 150 ลิตร ถ้ามีเศษเหลืออาจจะใช้ตะกงถาดแปรรูปแทน
4. นำน้ำสะอาดผสมลงในตะกงทุกตะกงตะกงละ 2 ลิตร หรือถ้าเป็นตะกงรางหมูขนาด 50 แผ่นผสมน้ำ 100 ลิตร น้ำที่นำมาผสมนี้บางส่วนได้จากการล้างถังเก็บน้ำยางต้องกรองด้วยกรอง เบอร์ 60 เสียก่อน
5. ผสมน้ำกรดที่มีความเข้มข้น 0.2% ลงในตะกงถาดตะกงละ 15-20 ซี.ซี. หรือประมาณ 1 ช้อนแกง เทราดให้กระจายทั่ว ใช้ใบพายกวนส่วนผสมต่างๆให้เข้ากันทันทีหลังใส่น้ำกรดแล้ว ประมาณ 2-3 ครั้งให้ทั่วตะกง จะเกิดฟองอากาศขึ้น ใช้ใบพายปาดออกมารวมไว้ในตะกงเปล่า 1 ใน ฟองอากาศที่ปาดออกนี้จะแข็งตัวเป็นเศษยางฟองอากาศ
ถ้าแปรรูปด้วยตะกงรางหนูขนาด 50 แผ่น ผสมน้ำกรด 750 ซี.ซี.
น้ำกรดที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดจะมีความเข้มข้นประมาณ 95% ก่อนนำมาใช้งานต้อง ทำการเจือจางโดยผสมกับน้ำให้มีความเข้มข้นเหลือ 0.2% การผสมกรดให้ได้ 0.2% จะต้องทราบ ปริมาณของน้ำยางสดว่ากรีดได้วันละเท่าใด สมมติว่าคนงานหนึ่งคนกรีดยางได้ 150 ลิตร ทำยางแผ่นได้ 50 แผ่น ส่วนผสมของน้ำกรดที่ใช้คือวันละ 20 x 50 = 1,000 ซี.ซี. หรือ 1 ลิตร ควรผสมน้ำกรดครั้ง ละ 10 ลิตร โดยใช้น้ำ 10 ลิตร ควงหัวเชื้อน้ำกรด 20 ซี.ซี. หรือ 1 ช้อนแกงเทผสมลงไป เสร็จใช้ไม้ กวนให้ทั่ว ส่วนผสมนี้จะใช้ได้ประมาณ 10 วัน ในกรณีแปรรูปด้วยตะกงหรือแปรรูปด้วยโรงงานครั้งละ มากๆ ควรผสมน้ำกรดให้พอดีกับปริมาณใช้งาน หรือเจ้าของสวนอาจจะผสมน้ำกรดไว้ให้เพื่อให้ความ เข้มข้นของกรดเท่ากันก็ได้ ข้อควรระวังในการผสมน้ำกรดคือ ห้ามเทน้ำลงใส่น้ำกรด เพราะจะเกิดฟองฟู ขึ้นหากกระเซ็นถูกร่างกายจะเป็นอันตราย
เมื่อผสมน้ำกรดลงในตะกงและกวนให้ทั่วกันแล้ว หลังจากนั้นประมาณ 0.5-1 ชั่วโมง ยางพาราจะแข็งตัว เป็นก้อนหนาหนืด เรียกว่าแท่งยาง (COAGULUM )
6. นำแท่งยาง (COAGULUM) ซึ่งมีความหนาใกล้เคียงกับความลึกของตะกง มา นวดให้บางประมาณ 2 ซ.ม. เพื่อจะรีดให้เป็นยางแผ่นดิบต่อไป วิธีนวดมีหลายวิธี คือนวดด้วยมือ นวดด้วย ไม้ และเหยียบด้วยเท้า ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน จะต้องล้างมือ ไม้ หรือเท้าให้สะอาด
ในกรณีที่แปรรูปด้วยตะกงรางหนูไม่ต้องนวดแท่งยาง เพราะความหนาของแต่ละแผ่นจะได้ขนาดรีดด้วย จักรแล้ว
7. นำแท่งยางที่นวดแล้วไปรีดด้วยจักรรีดยาง ในกรณีใช้จักรรีดยางด้วยมือหมุน จะต้องรีดลื่นจำนวน 3 ครั้ง จึงจะรีดดอก โดยครั้งแรกตั้งขอนรีดเลื่อนให้ห่างกันประมาณ 1 ซ.ม. ครั้งที่
8. การผึ้งยางพาราแผ่นดิบ เพื่อต้องการขับน้ำออกจากยางแผ่นดิบให้มากที่สุด เมื่อล้าง ผิวยางพาราสะอาดดีแล้วจึงพาไปพึ่งยังลานผึ้งยางกลางแดด ก่อนพึ่งยางพาราลงบนราวให้ใช้ผ้าชุบน้ำทำ ความสะอาดราวเสียก่อน การฝั่งให้วางแผ่นยางพาราพาดราวตามแนวขวางโดยกะครึ่งหนึ่งของแนวยาวอยู่ กลางราว ในแต่ละวันจะเริ่มผึ้งยางพาราได้เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.ถึง 17.00 น. เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ให้พลิกแผ่นยางเอาด้านในออกรับแสงแดดจะทำให้ยางแผ่นดิบแห้งเร็วขึ้นและเมื่อหมดแสง แดดแล้วควรเก็บยางแผ่นดิบไปเก็บยังโรงเก็บหรือนำเข้าอบในโรงอบยางพาราต่อไป หากวันใดมีฝนตก อาจจะต้องพึ่งยางแผ่นดิบ 2-3 วัน หรือผึ่งลมในที่ร่มก็ได้
9. การอบยางแผ่นดิบ จุดประสงค์เพื่อเพิ่มชั้นคุณภาพของยางพาราแผ่นดิบทำให้ ความชื้นในแผ่นยางเหลือน้อยที่สุด เพื่อลดต้นทุนควรใช้โรงอบพลังแสงอาทิตย์ นำยางพาราที่ผ่านการฝั่ง แดตหรือผึ่งลมแล้วไปอบโดยแขวนบนราว 3 ชั้น ผู้พึ่งยางจะต้องทำเครื่องหมายไว้เองว่ายางแผ่นดิบแต่ละ ชุดนำเข้าอบวันไหนและถึงกำหนดเก็บวันไหน โดยทั่วไปจะใช้เวลา 7 วัน แต่ถ้าฝนตกต่อเนื่องอาจจะใช้ เวลามากกว่านั้นผู้กรีดยางต้องใช้การสังเกตการแห้งของแผ่นยางเป็นหลัก
10. การเก็บยางพาราแผ่นดิบรอจำหน่าย ยางพาราที่ฝั่งแห้งแล้ว หรือที่อบแห้งแล้ว ต้องเก็บไว้ในโรงเก็บยางแผ่นดิบเพื่อให้มีปริมาณมากพอ หรือเพื่อตรวจสอบราคาการซื้อขายยางพาราแต่ละ ช่วง ในกรณีมีคนกรีดยางหลายคนเจ้าของสวนจะต้องจัดระบบการควบคุมจำนวนยางแผ่นที่นำมาเก็บ จัดแบ่งบริเวณให้ผู้กรีดยางพาราแต่ละคน จะต้องรู้ว่าในแต่ละช่วงเวลามียางแผ่นดิบของผู้กรีดคนใดเท่าใด โดยต้องจัดทำทะเบียนไว้
11. การชั่งน้ำหนักยางแผ่นดิบ เมื่อเจ้าของสวนยางพาราตัดสินใจจะขายยางพาราแผ่น ดิบแต่ละครั้งจะแจ้งให้ผู้กรีดยางพาราทราบ ผู้กรีดยางจะต้องนำยางพาราที่แขวนไว้ในโรงเก็บที่เก็บไว้อย่าง น้อย 7 วันมาทำนัดเพื่อชั่งน้ำหนักและขนขึ้นรถบรรทุกนำไปจำหน่ายต่อไป การมัดยางแผ่นดิบจะใช้วิธีวาง ยางแผ่น 1 แผ่นไว้ที่พื้นและซ้อนแผ่นอื่นๆ ไว้ตามแนวตั้งฉากกับแผ่นแรกจะทำมัดละที่แผ่นเจ้าของสวน ยางจะต้องกำหนดโดยคำนึงถึงการยกใส่รถบรรทุกด้วยปกติจะทำมัดละ 20 แผ่น เมื่อมัดเสร็จจึงทำการชั่ง น้ำหนักและขนใส่รถยนต์บรรทุกเพื่อจำหน่ายต่อไป