L.A PLASTIC
แอลเอพลาสติก
 L.A  PLASTIC โรงงานพลาสติก

วิธีการเลี้ยงไส้เดือนดินผลิตปุ๋ยอินทรีย์และกำจัดขยะ

วิธีการเพาะเลี้ยงไส้เดือนดินผลิตปุ๋ยอินทรีย์และกำจัดขยะ
สารบัญ
มารู้จักไส้เดือนดินก่อนเลี้ยง
“ไส้เดือนดิน” จัดอยู่ในกลุ่มผู้ย่อยสลายซากอินทรีย์ในระบบนิเวศ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ตามที่อยู่อาศัยและนิสัยในการกินอาหารคือ ไส้เดือนดินที่อาศัยอยู่ตามผิวดินหรือใต้ซากอินทรีย์และไส้เดือนดิน ที่อาศัยอยู่ใต้ดินโดยการขุดรูอยู่ โดยไส้เดือนดินที่อยู่ตามผิวดินหรือใต้ซากอินทรีย์จะมีประสิทธิภาพในการย่อยสารอินทรีย์ในดินได้ดีกว่า และมีการขยายพันธุ์ที่รวดเร็วกว่าด้วย โดยทั่วไปในธรรมชาติไส้เดือนดินมีอายุที่ยาวนาน ตั้งแต่ 4 -10ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของไส้เดือนดิน แต่เมื่อนำมาเพาะเลี้ยงมักพบว่าไส้เดือนดินมีอายุสั้นลง โดยทั่วไปจะมีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 2 ปี
ไส้เดือนดินจัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ (Animalia) ศักดิ์แอนนิลิดา (Phylum : Annelida) ชั้นโอลิโกซีตา (Class : Oligochaeta) ตระกูลโอพิสโธโพรา (Order : Opisthopora) วงศ์ (Family) ของไส้เดือนดิน จำแนกออกเป็นวงศ์ที่แตกต่างกัน 21 วงศ์ และมีมากกว่า 8,000 สายพันธุ์ (Species
ลักษณะทั่วไปของไส้เดือนดิน
ไส้เดือนดิน พบได้ทั่วไปในดินกองปุ๋ยหมัก ริมร่องระบายน้ำ ใต้กองมูลสัตว์ใต้ขอนไม้ผุ และ ในพื้นที่ต่างๆ ที่มีแหล่งอาหารและความชื้นเพียงพอต่อการดำรงชีวิต
ไส้เดือนดินแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ไส้เดือนดินสีแดง
จะมีลำตัวขนาดเล็กอาศัยอยู่ในบริเวณผิวดินที่มีอาหารและความชื้นสูงตลอดปี กินอาหารเก่งและออกลูกมาก เหมาะสำหรับใช้ย่อยสลายขยะอินทรีย์
2. ไส้เดือนดินสีเทา อาศัยอยู่ในดิน ขุดรูอยู่ กินอาหารน้อย และออกลูกน้อย ไม่เหมาะนำไปใช้ย่อยขยะอินทรีย์ แต่เหมาะสำหรับปรับปรุงโครงสร้างดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินในพื้นที่การเกษตร
วงจรชีวิตของไส้เดือนดิน
วงจรชีวิตของไส้เดือนดินจะประกอบด้วย ระยะถุงไข่ (Cocoon) ระยะตัวอ่อน ระยะก่อนวัยเจริญพันธ์ และระยะตัวเต็มวัย (ไคเทลลัมเจริญเต็มที่) ไคลเทลลัม จะสามารถเห็นได้ชัดเจนขึ้นที่บริเวณส่วนหัว ระยะนี้ไส้เดือนดินก็จะมีการจับคู่ผสมพันธุ์กัน หลังจากนั้นจะสร้างถุงไข่(Cocoon) วางบนผิวดิน ตัวอย่างเช่น ไส้เดือนดินสายพันธุ์ขี้ตาแร่จะวางถุงไข่เดือนละประมาณ 2 ถุง ตัวอ่อนไส้เดือนดินจะพัฒนาอยู่ภายในถุงไข่ประมาณ 3-6 สัปดาห์จะฟักเป็นตัว หลังจากนั้นไส้เดือนดินจะกินอาหารและ โตเต็มวัยใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน ไส้เดือนดินที่เจริญเติบโตเต็มวัยแล้วจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ยาวนานหลายปีในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
วงจรชีวิตไส้เดือนดิน ระยะถุงไข่ ตัวอ่อน ตัวเต็มไว

8 ขั้นตอนการเลี้ยงไส้เดือนดิน

1. การเตรียมบ้านไส้เดือนดิน

ในการเลี้ยงไส้เดือนดิน อันดับแรกจะต้องเตรียมบ้านให้ไส้เดือนดินก่อน ซึ่งจะใช้ภาชนะที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น ถังพลาสติก กะละมังพลาสติก ลิ้นชักพลาสติก หรือบ่อซีเมนต์ เป็นต้น

ภาชนะที่ใช้เลี้ยงไส้เดือนดิน

ความจริงแล้วใช้ภาชนะอะไรก็ได้ จะมีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ได้ เพียงขอให้ภาชนะ นั้นสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการอยู่อาศัยของไส้เดือน โดยหลักการ ภาชนะ ที่ใช้เลี้ยงไส้เดือนมีส่วนประกอบหลักเป็น 3 ส่วน คือ
1. ส่วนระบายน้ำและส่วนรองรับน้ำ (น้ำหมักมูลไส้เดือน) ภาชนะที่ใช้เลี้ยงไส้เดือนจะต้องเป็นภาชนะที่ระบายน้ำได้ดี เพราะไส้เดือนไม่ชอบสภาพชื้นแฉะหรือสภาพที่มีน้ำขัง ซึ่งจะทำให้ไส้เดือนหนีออกจากภาชนะหรือตายได้ ภาชนะที่ใช้เลี้ยงไส้เดือนจึงต้องมีรูที่ก้นภาชนะ หรือไม่ก็บุด้วยตะแกรงหรือตาข่าย หรือใช้กรวด หิน ทราย เป็นตัวกรอง ในการเก็บน้ำหมักมูลไส้เดือน ก็จะต้องมีส่วนรองรับน้ำ ซึ่งอาจจะรวมอยู่ในภาชนะเดียวก็ได้ (เช่นในถัง) หรืออาจแยกภาชนะออกมาต่างหากจากภาชนะที่ใช้เลี้ยงไส้เดือนก็ได้ (เช่นในกรณีเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ในโรงเรือน)
2. ส่วนที่อยู่อาศัยของไส้เดือน ที่อยู่อาศัยของไส้เดือนกับส่วนที่ใส่อาหารสำหรับไส้เดือนจะอยู่ด้วยกัน โดยส่วนที่ใส่อาหารจะอยู่ด้านบนของส่วนที่อยู่อาศัยของไส้เดือน ส่วนที่อยู่อาศัยของ ไส้เดือนจะต้องมืด ไม่โดนแสงสว่าง และมีวัสดุที่ดูดซับความชื้นไว้ได้ดี วัสดุที่ใช้ในส่วนที่อาศัย ของไส้เดือนมักจะใช้ ดินดี ฟางข้าว มูลสัตว์ ใบไม้แห้ง หรือเศษกระดาษ
3. ส่วนที่ใส่อาหารไส้เดือน ส่วนนี้จะอยู่ด้านบนของส่วนที่อยู่อาศัยของไส้เดือน อาหารที่ใส่ให้แก่ไส้เดือนไม่ควรสูงมาก แต่ควรแผ่กระจายไปทางกว้างหรือไปในแนวนอน ถ้า ทำได้ควรถูกคลุมด้วยวัสดุที่ขึ้น และควรมีการพรางแสง เพื่อให้ไส้เดือนเลื้อยขึ้นจากชั้นที่อยู่ อาศัยขึ้นมากินอาหาร แล้วขับถ่ายออกมาแทนที่ อาหารที่ไส้เดือนชอบคือ มูลสัตว์ นอกนั้น ก็จะมีเศษอาหาร เศษผักผลไม้เน่า
ภาชนะที่เลี้ยงไส้เดือนอาจมีฝาปิด โดยเฉพาะการเลี้ยงไส้เดือนในครัวเรือน แต่ถ้าเลี้ยง ในปริมาณมาก เลี้ยงเพื่อการค้า มักจะไม่มีฝาปิด แต่ควรคลุมด้วยตาข่าย เพื่อป้องกันไส้เดือน ถูกกินหรือถูกทำร้ายจากสัตว์อื่น เช่น นก หนู
รูปแบบการเลี้ยงไส้เดือนมีหลายหลากรูปแบบ ตั้งแต่ภาชนะขนาดเล็กไปจนถึงขนาด ใหญ่

6 วิธีการเลี้ยงไส้เดือนดินในภาชนะต่างๆ

วิธีการเลี้ยงไส้เดือนในกะละมังพลาสติก
การเลี้ยงไส้เดือนในกะละมังพลาสติก
เรียนรู้เพิ่มเติม
วิธีการเลี้ยงไส้เดือนในลังพลาสติก (คอนโดเลี้ยงไส้เดือน)
การเลี้ยงไส้เดือนในลังพลาสติก
เรียนรู้เพิ่มเติม
วิธีการเลี้ยงไส้เดือนในลิ้นชักพลาสติก (คอนโดเลี้ยงไส้เดือน)
การเลี้ยงไส้เดือนในลิ้นชักพลาสติก
เรียนรู้เพิ่มเติม
วิธีการเลี้ยงไส้เดือนในอ่างผสมปูนพลาสติก
การเลี้ยงไส้เดือนในอ่างผสมปูนพลาสติก
เรียนรู้เพิ่มเติม
วิธีการเลี้ยงไส้เดือนในวงบ่อซีเมนต์
การเลี้ยงไส้เดือนในวงบ่อซีเมนต์
เรียนรู้เพิ่มเติม
วิธีการเลี้ยงไส้เดือนในบ่อซีเมนต์ในโรงเรือน (ฟาร์มไส้เดือน)
การเลี้ยงไส้เดือนในบ่อซีเมนต์ในโรงเรือน
เรียนรู้เพิ่มเติม

2. การเตรียมที่อยู่ให้ไส้เดือนดิน

การเตรียมที่อยู่ไส้เดือนดิน หรือการเตรียมส่วนผสมเพื่อใช้รองพื้นสำหรับเลี้ยงไส้เดือนดินนั้น ประกอบด้วย
1. เป็นวัสดุที่ดูดซับน้ำได้ดี แต่ไม่ขังน้ำ เพราะไส้เดือนดินหายใจทางผิวหนัง ผิวหนังต้องเปียกชื้นถึงจะแลกเปลี่ยนอากาศได้
2. เป็นวัสดุคงรูปไม่เน่าสลายผุพังเร็ว เช่น มูลสัตว์เคี้ยวเอื้อง มูลม้า ไม่ควรใช้วัสดุย่อยสลายเร็ว เช่น เศษวัชพืชอวบน้ำ
3. เป็นวัสดุ โปร่ง ร่วน ถ่ายเทอากาศได้ดีไม่ควรใช้ดินเหนียวและวัสดุที่แน่นทึบ เนืองจากการระบายน้ำไม่ดี และทำให้ไส้เดือนดินเคลื่อนที่ลำบาก

ขั้นตอนการเตรียมที่อยู่ให้ไส้เดือนดิน

ส่วนผสมที่อยู่ไส้เดือน ดินร่วน 4 ส่วน
ดินร่วน 4 ส่วน
ส่วนผสมที่อยู่ไส้เดือน มูลวัว 1 ส่วน
มูลวัว 1 ส่วน
ส่วนผสมที่อยู่ไส้เดือน ขุยมะพร้าว 2 ส่วน
ขุยมะพร้าว 2 ส่วน
นำส่วนผสมเพื่อใช้รองพื้นสำหรับเลี้ยงไส้เดือนมาผสมตามอัตราส่วนข้างต้นให้เข้ากัน และรดน้ำพอชุ่ม
ส่วนผสมเลี้ยงไส้เดือนมาผสมให้เข้ากันและรดน้ำพอชุ่ม
นำดินที่ผสมแล้วใส่ภาชนะที่จะเลี้ยงสูงประมาณ 3-5 นิ้ว (ตามความเหมาะสมของภาชนะ) ตั้งทิ้งไว้ในที่ล่มประมาณ 20 วัน เพื่อลดความเป็นกรดของดินให้เหมาะสม จากนั้นนำไส้เดือนมาเลี้ยงในอัตราส่วน 50-100 ตัว ต่อ 0.1 ตารางเมตร
นำส่วนผสมเทใส่ภาชนะที่จะลี้ยงตั้งทิ้งไว้เพื่อปรับสภาพ
ต้องหมั่นตรวจเช็คบริเวณผิวดิน หากแห้งเกินไปต้องใช้กระบอกฉีดน้ำพรมผิวดินให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
อัตราการใส่ไส้เดือนดิน
พื้นที่ 1 ตารางเมตร ใส่ไส้เดือนดิน 1 กิโลกรัม
สัดส่วนของผลผลิตที่ได้จากกระบวนการผลิตปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน
ปริมาณขยะอินทรีย์ 100 เปอร์เซ็นต์ หลังผ่านกระบวนการกำจัดโดยใช้ไส้เดือนดินจะได้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินเปียก 30 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อลดความขึ้นลง (ความชื้นน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์) จะเหลือปุ๋ยหมักมูกไส้เดือนดินเท่ากับ 11-12 เปอร์เซ็นต์ ได้น้ำหมักมูลไส้เดือนดิน เท่ากับ 40 เปอร์เซ็นต์และตัวไส้เดือนดินเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์

3 การให้อาหารไส้เดือนดิน

ไส้เดือนดินกินอาหารที่เป็นอินทรีย์วัตถุได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นมูลสัตว์ เศษพืชผักต่างๆ เศษอาหาร ถ้าเป็นเศษอาหารที่รสชาติจัดไม่ว่าจะเผ็ด เปรี้ยวหรือกลิ่นแรง ควรจะทำการหมักก่อนเพื่อให้อาหารอยู่ในสภาพที่เหมาะสมกับการกินของไส้เดือน ไส้เดือนดินชอบอาหารสดมากกว่าอาหารแห้ง
อาหารที่ใช้เลี้ยงไส้เดือนดิน
มูลสัตว์ เศษพืชผัก เศษอาหาร สำหรับเลี้ยงไส้เดือนดิน
วิธีการให้อาหารไส้เดือนดิน ควรให้อาหารทีละน้อยและใช้วิธีขุดหลุมฝังเศษอาหารโดยเวียนเป็นวงกลม ดังนั้น จึงต้องทำสัญลักษณ์ไว้ว่าฝั่งเศษอาหารลงตรงไหนไปแล้ว เพราะไส้เดือน จะปล่อยเมือกใส่อาหาร เพื่อให้กรดอมิโนที่หลั่งออกมากับเมือกของไส้เดือนย่อยเศษอาหาร โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน แล้วจึงค่อยกินอาหารดังกล่าว
ควรให้อาหารไส้เดือนดินทีละน้อย

4. สภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อไส้เดือนดิน

ความชื้น ไส้เดือนดินแต่ละชนิดจะเจริญเติบโตได้ดีในความชื้นที่แตกต่างกันเช่น ความชื้นที่เหมาะสม ต่อไส้เดือนดินที่อาศัยอยู่ใต้ดินคือ 40 - 70% ส่วนไส้เดือนดินที่อาศัยใต้กองมูลสัตว์หรือซากอินทรีย์จะเจริญเติบโต ได้ดีที่ความชื้น 70 - 80% เป็นต้น
อุณหภูมิ ที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของไส้เดือนดิน อยู่ในช่วง 15 - 28 องศาเซลเซียส โดย ไส้เดือนดินในเขตร้อนจะทนต่ออุณหภูมิสูงได้ดีกว่าไส้เดือนดินในเขตอบอุ่น
ความเป็นกรด – ด่าง ของดินมีผลต่อไส้เดือนดินโดยทั่วไปความเป็นกรด - ด่างที่เหมาะสมต่อไส้เดือน ดินอยู่ในช่วง 6.0 - 8.0 อย่างไรก็ตามพบว่าไส้เดือนดินบางชนิดสามารถอาศัยอยู่ในสภาพที่เป็นกรดจัดได้ (3.7 -4.7)
ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไส้เดือนดินจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในดินที่มีความเข้มข้น ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่าง 0.01 - 11.5% ถ้ามีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่สูงกว่าที่กำหนดจะ เป็นอันตรายต่อไส้เดือนดิน
จากลักษณะการกินอาหาร (ซากอินทรีย์) และการอยู่อาศัยของไส้เดือนดิน ทำให้มีประโยชน์ต่อดินในแง่ ของการย่อยสลายขากอินทรีย์ในดิน ทำให้ดินมีธาตุอาหารและสารต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งการเคลื่อนที่ไปหาอาหารของไส้เดือนดินเป็นการไชชอนดินทำให้ดินมีความร่วนซุย มีการระบายของน้ำและ การแพร่กระจายของอากาศในดินได้ดีจึงเป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตในดินไม่ว่าจะเป็นพืช จุลินทรีย์และสัตว์ขนาด เล็กอื่น ๆ

5. ศัตรูของไส้เดือนดิน

ศัตรูของไส้เดือนดิน เช่น ไรแดง มด หนู นก กบ กิ่งคือ ตะเข็บ หอย งู ตัวอ่อนแมลงปีกแข็ง จิ้งจก ตุ๊กแก แมง กระชอน จิ้งหรีด ดังนั้น ในการเลี้ยงจึงจำเป็นต้องมีตาข่ายป้องกันแมลงและสัตว์ต่างๆ เข้าไปกินไส้เดือน
ควรมีตาข่ายป้องกันมดศัตรูไส้เดือนดินมากิน
ควรมีตาข่ายป้องกันหนูศัตรูไส้เดือนดินมากิน
ควรมีตาข่ายป้องกันนกศัตรูไส้เดือนดินมากิน
ควรมีตาข่ายป้องกันกบศัตรูไส้เดือนดินมากิน
ควรมีตาข่ายป้องกันกิ่งกือศัตรูไส้เดือนดินมากิน
ควรมีตาข่ายป้องกันงูศัตรูไส้เดือนดินมากิน

6. วิธีการคัดแยกไส้เดือนดิน

1. คัดแยกด้วยมือ
2. คัดแยกด้วยตะแกรงร่อน
3. คัดแยกด้วยการนำมูลไส้เดือนที่มีไส้เดือนปนอยู่ ไปใส่ในตะกร้า หรือตะแกรงพลาสติกที่มีรู นำถุงพลาสติกดำ ฉีดพรมน้ำให้ชุ่ม มาลองใต้ตะกร้าที่ใส่มูลไส้เดือนที่มีไส้เดือนปนไว้แล้วหาถัง หรือกะละมัง ที่มีขนาดเท่ากับตะกร้ามารองรับที่ถุงดำอีกที นำไปตากแดด 5-10 นาที ไส้เดือนเมื่อโดนแสง จะหนีแสงแล้วรอดรูตะกร้า มารวมกันที่บริเวณถุงดำเป็นก้อนกระจุก
เตรียม ถังพลาสติก ตะกร้าพลาสติกที่วางพอดีกับถังพลาสติก ถุงดำ และกระบอกฉีดน้ำ
3.1 เตรียม ถังพลาสติก ตะกร้าพลาสติกที่วางพอดีกับถังพลาสติก ถุงดำ และกระบอกฉีดน้ำ
นำถุงดำมาวางบนถังพลาสติกและฉีดน้ำให้ทั่วจนชุ่ม
3.2 นำถุงดำมาวางบนถังพลาสติกและฉีดน้ำให้ทั่วจนชุ่ม
วางตะกร้าบนถุงดำที่ฉีดน้ำจนชุ่มและดักไส้เดือนที่จะคัดออกจากปุ๋ยหมักใส่ตะกร้า
3.3 วางตะกร้าบนถุงดำที่ฉีดน้ำจนชุ่มและดักไส้เดือนที่จะคัดออกจากปุ๋ยหมักใส่ตะกร้า
นำไปตากแดด ประมาณ 5-10 นาที
3.4 นำไปตากแดด ประมาณ 5-10 นาที
ยกตะกร้าขึ้นจะได้ไส้เดือนดินที่รวมตัวอยู่บนถุงดำ
3.5 ยกตะกร้าขึ้นจะได้ไส้เดือนดินที่รวมตัวอยู่บนถุงดำ
สามารถนำใส้เดือนดินที่คัดแยกมาใช้ประโยชน์ เช่น นำไปจำหน่าย หรือขยายพันธุ์ต่อไป
3.6 สามารถนำใส้เดือนดินที่คัดแยกมาใช้ประโยชน์ เช่น นำไปจำหน่าย หรือขยายพันธุ์ต่อไป
4. ใช้เครื่องร่อนแยกตัวไส้เดือน ซึ่งมีราคาประมาณ 30,000 บาท เหมาะสำหรับโรงเรือนขนาดใหญ่ที่มีปุ๋ยมูลไส้เดือนและตัวไส้เดือนในปริมาณมาก

7. วิธีการใช้ประโยชน์ไส้เดือนดิน

7.1 ปุ๋ยหมักไส้เดือนดิน

ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือน ถือว่าเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพสูงกว่า มีทั้งธาตุอาหารหลัก ธาตุ อาหารรอง และธาตุอาหารเสริม ธาตุอาหารในปุ๋ยมูลไส้เดือนและประโยชน์ก็จะมีดังนี้
ธาตุอาหารหลัก : N ไนโตรเจน, P ฟอสฟอรัส, K โพแทสเซียม
ธาตุอาหารรอง : C แคลเซียม, Mg แมกนีเซียม, S ซัลเฟอร์
ธาตุอาหารเสริม: Fe เหล็ก, Zn สังกะสี, Mn แมงกานีส, Cu ทองแดง, Mo โมสิกินั่ม, Ci คาร์บอน
ประโยชน์ปุ๋ยหมักไส้เดือนดิน
- ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชทุกชนิด
- ส่งเสริมความพรุนของผิวหน้าดิน ทำให้ดินร่วนซุยไม่จับตัวกันแน่น
- ช่วยให้ระบบ รากพืช สามารถ แพร่กระจายในดินได้กว้างขึ้น ดูดซึม ปุ๋ยได้ดี
- เพิ่มขีดความสามารถในการสังเคราะห์แสง ตรึงไนโตรเจน และ ช่วยดูดซึมน้ำให้ดินชุ่มชื้น
- ช่วยเพิ่มความต้านทานโรคปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างในดินให้ดีขึ้น
- เพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน เป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์กลุ่มสร้างสรรค์ในดิน
- ช่วยเร่งการออกดอก ออกผล และความหวานของผลไม้ ใช้ได้กับพืชทุกชนิด
อัตราส่วนการใช้
พืชผักสวนครัว (ต้น) 1-2 ช้อนโต๊ะ
ไม้ดอก ไม้ประดับ 1 กิโลกรัม
ไม้ยืนต้น 1 เมตร 1-2 กิโลกรัม
ไม้ยืนต้น 5 เมตร 5-15 กิโลกรัม
ไม้ยืนต้น มากกว่า 5 เมตร 15-20 กิโลกรัม
ประโยชน์ปุ่ยหมักไส้เดือนดิน

7.2 น้ำหมักไส้เดือนดิน

น้ำหมักมูลไส้เดือน เป็นน้ำหมักที่มีคุณภาพสูง ซึ่งประกอบด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติกลุ่มสร้างสรรค์ ที่เกิดจากน้ำของเศษขยะอินทรีย์ที่ไส้เดือนกินเข้าไป และขับถ่ายผ่านตัวออกมาในกระบวนการผลิตมูลไส้เดือน มีประโยชน์หลายอย่าง
ประโยชน์น้ำหมักไส้เดือนดิน
- ปรับสมดุล กรด-ด่าง เพิ่มความต้านทานโรคแก่พืช ลดปัญหาการรบกวนจากหนอน แมลง จนถึงเพลี้ยบางชนิด
- เป็นฮอร์โมนพืช โดยให้เสริมทางใบ และราก โดยพืชสามารถนำไปใช้ได้ทันที
- ช่วยในการบำบัดน้ำเสีย โดยจุลินทรีย์สามารถอาศัยในน้ำลึกและแช่น้ำ อีกทั้งอยู่ในกลุ่มไม่ต้องการออกซิเจนในการย่อยสลาย จะจับสารอินทรีย์ ให้มือนุภาคเล็กลง และตกตะกอนอย่างรวดเร็ว
อัตราส่วนการใช้
เจือจางด้วยน้ำ 1:20 รดพืชผัก ทุกๆ 3 วัน
ประโยชน์น้ำหมักไส้เดือนดิน

8. สายพันธุ์ไส้เดือนดินที่นิยมเลี้ยง

สายพันธุ์ไส้เดือนดินที่ใช้ในการกำจัดขยะและผลิตปุ๋ยหมักมูลไส้เดือน ที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทย

8.1 แอฟริกัน ไนท์ครอว์เลอร์

ชื่อสามัญ: African Night Crawler (Eudrilus eugeniae)
เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในไทย ตัวใหญ่คัดแยกง่าย ขยายพันธุ์เร็ว กินเก่ง
สายพันธุ์ไส้เดือนดิน อัฟริกัน ไนท์ ควรอว์เลอร์  (AF, African Night Crawler)
African Night Crawler (ไส้เดือน AF)
ลักษณะโดยทั่วไป
- ลำตัวมีขนาด 130-250 x 5-8 มิลลิเมตร
- ลำตัวมีสีน้ำตาลแดงปนเทา
- สืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ
- จับคู่ผสมพันธุ์ได้ดิน
- สร้างถุงไข่ได้โดยเฉลี่ยประมาณ 162-188 ถุง/ตัว/ปี
- ใช้เวลาในการฟักเป็นตัวประมาณ 13-27 วัน โดยเฉลี่ยทึก 2 ตัว/ถุงไข่
- ใช้เวลาในการเติบโตเต็มวัย 6-10 เดือน
- อาศัยอยู่บริเวณผิวดิน กินเศษซากอินทรียวัตถุที่เน่าสลายเป็นอาหาร
- มีอายุยืนยาว 4-5 ปี
ไส้เดือนดิน AF สายพันธุ์นี้เป็นไส้เดือนดินสีแดงที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้รวดเร็วมาก โดยทั่วไปรู้จักกันในชื่อแอฟริกัน ไนท์ ครอเลอร์ (African night crawler) สามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว มีการเลี้ยงไส้เดือนดินสายพันธุ์นี้กันอย่างกว้างขวาง ไส้เดือนดินสายพันธุ์นี้นอกจากนำมาใช้ในกระบวนการผลิตปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินแล้วยังมีความเหมาะสมมากในการนำมาผลิตเป็นโปรตีนเสริมสำหรับใช้เลี้ยงสัตว์ เนื่องจากมีขนาดใหญ่และมีอัตราการแพร่พันธุ์ได้สูงมาก แต่มีข้อเสียตรงที่ไส้เดือนดินสายพันธุ์นี้ทนทานต่อช่วงอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสมได้ต่ำ เลี้ยงยาก และเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ยากด้วย เนื่องจากไส้เดือนดินสายพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน ซึ่งจะชอบอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูง โดยจะเจริญเติบโตได้ไม่ดีในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส และจะตายในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส การเลี้ยงไส้เดือนสายพันธุ์นี้ในประเทศเขตหนาว จะถูกจำกัดการเลี้ยงเฉพาะภายในโรงเรือนที่มีการควบคุมอุณหภูมิในช่วงฤดูหนาวเท่านั้นถึงจะเลี้ยงได้ดี สำหรับการเลี้ยงภายนอกโรงเรือน จะเหมาะสมเฉพาะกับพื้นที่เขตร้อน หรือ กิ่งร้อนเท่านั้น สำหรับในด้านการนำมาใช้จัดการขยะพบว่า ไส้เดือนสายพันธุ์นี้มีความสามารถในการย่อยสลายขยะในปริมาณมากได้อย่างรวด

8.2 ไทเกอร์

ชื่อสามัญ: Tiger worm (Eisenia fetida), Manure worm, Compost worm
ตัวเล็กคัดแยกยาก เป็นไส้เดือนชอบอากาศเย็น ถึง หนาว ราคา
สายพันธุ์ไส้เดือนดิน ไทเกอร์ (Tiger worm)
The Tiger worm (ไส้เดือนไทเกอร์)
ลักษณะโดยทั่วไป
เป็นไส้เดือนดินสีแดงที่มีลำตัวกลม ขนาดเล็ก ลำตัวมีสีแดงสด เห็นปล้องแต่ละปล้องแบ่งอย่างชัดเจน สามารถแพร่ ขยายพันธุ์ได้รวมเร็วและมีกลิ่นตัวที่รุนแรง มีลักษณะโดยทั่วไปดังนี้
- ลำตัวมีขนาด 35-130 x 3-5 มิลลิเมตร
- ลำตัวมีสีแดง ร่างระหว่างปล้องและบริเวณปลายหางมีสีเหลือง
- มีอายุยืนยาว 4-5 ปี แต่มักจะอยู่ได้ 1-2 ปี เมื่อเลี้ยงในบ่อ
- สืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ
- สร้างถุงไข่โดยเฉลี่ยประมาณ 150-198 ถุง/ตัว/ปี
- สร้างไข่ได้ประมาณ 900 ฟอง ตัว/ปี
- ใช้เวลาในการฟักเป็นตัวประมาณ 32-40 วัน (ขึ้นอยู่กับฤดูกาล) โดยเฉลี่ยฟัก 3 ตัว/ถุงไข่
- ใช้เวลาในการเติบโตเต็มวัย 3-6 เดือน (ขึ้นอยู่กับฤดูกาล)
- อาศัยอยู่บริเวณผิวดิน กินเศษซากอินทรียวัตถุที่เน่าสลายและมีอนุภาคขนาดเล็ก
ประเทศในแถบยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย นิยมนำไส้เดือนดินสายพันธุ์นี้ หรือ สายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกันคือ สายพันธุ์ Eisenia Andrei มาใช้ในการกำจัดขยะอินทรีย์และกระบวนการผลิตปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน เป็นพันธุ์การค้าที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มีหลายเหตุผลที่ทำให้ผู้ผลิตปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินเลือกใช้สายพันธุ์นี้คือ ไส้เดือนดินสายพันธุ์นี้มีอยู่ทั่วไปในบริเวณที่มีขยะอินทรีย์ โดยพวกมันจะขยายพันธุ์และเจริญเติบโตอยู่ในกองขยะอินทรีย์เหล่านั้น เป็นพันธุ์ที่มีความทนทานต่อช่วงอุณหภูมิกว้าง และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในขยะอินทรีย์ที่มีความชื้นได้หลายระดับ โดยรวมแล้วเป็นไส้เดือนดินสายพันธุ์ที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ดีมาก ทําให้เลี้ยงง่าย

8.3 ฟีเรททิมา พีกัวนา

ชื่อสามัญ: Pheretima peguana
ชื่อท้องถิ่น: ขี้ตาแร่
ไส้เดือนท้องถิ่นในไทยไทย มีมากทางภาคเหนือ กินเก่ง
สายพันธุ์ไส้เดือนดิน ฟีเรททิมา พีกัวนา (ขี้ตาแร่) (Pheretima peguana)
ไส้เดือนขี้ตาแร่
ลักษณะโดยทั่วไป
- ลำตัวมีขนาด 130-200 x 5-6 มิลลิเมตร
- ลำตัวมีสีน้ำตาลแดงเข้ม
- อาศัยอยู่บริเวณผิวดิน ได้กองมูลสัตว์ เศษหญ้า กินเศษซากอินทรียวัตถุที่เน่าเปื่อย และมูลสัตว์เป็นอาหาร
- สืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ
- จับคู่ผสมพันธุ์บริเวณผิวดิน
- สามารถผลิตถุงไข่ได้ 24-40 ถุง/ตัว/ปี
- ใช้เวลาในการฟักเป็นตัวประมาณ 25-30 วัน โดยเฉลี่ยฟัก 10 ตัว/ถุงไข่
- ใช้เวลาเจริญเติบโตเต็มวัย 5-6 เดือน
- มีชีวิตยืนยาว 2-4 ปี
ไส้เดือนดินสายพันธุ์นี้เป็นไส้เดือนดินสีแดงที่พบได้ทั่วไปในทวีปเอเชีย รวมทั้งในประเทศไทย มีลำตัวกลมขนาดปานกลาง โดยมีขนาดใกล้เคียงกับไส้เดือนดินสายพันธุ์ แอฟริกัน ไนท์ ครอเลอร์ โดยพบในมูลวัวนม และใต้เศษหญ้าที่ตัดทิ้งในนาข้าว โดยอาศัยอยู่บริเวณผิวดิน ไม่ขุดครูอยู่ในดินที่ลึกเหมือนกับ ไส้เดือนพันธุ์สีเทา ที่อาศัยอยู่ในสวนผลไม้และอยู่ในชั้นดินที่ลึกลงไป ชาวบ้านแถบภาคเหนือเรียกว่า “ขี้ตาแร่” ชาวบ้านมักจะนำมาใช้เป็นเหยื่อตกปลา ลักษณะพิเศษของไส้เดือนดินสายพันธุ์นี้คือ จะมีความตื่นตัว (Active) สูงมาก เมื่อสัมผัสถูกตัวมันจะดิ้นอย่างรุนแรงและเคลื่อนที่หนีเร็วมาก นอกจากนี้ในการนำมาใช้กำจัดขยะอินทรีย์พบว่า ไส้เดือนสายพันธุ์นี้จะสามารพกินขยะอินทรีย์จำพวกเศษผัก ผลไม้ได้หมดอย่างรวดเร็ว หากนำมาเลี้ยงและฝึกให้กินขยะอินทรีย์เหล่านี้ นอกจากกินขยะอินทรีย์เก่งแล้ว ไส้เดือนดินสายพันธุ์นี้ยังมีอัตราการแพร่พันธุ์ได้สูงมากด้วย ดังนั้นในการนำไส้เดือนดินมาใช้กำจัดขยะในประเทศไทย ไส้เดือนดินสายพันธุ์ “ขี้ตาแร่” เป็นไส้เดือนสายพันธุ์ที่นับว่าเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยและหามาเลี้ยงได้ง่าย

8.4 ไส้เดือนดินแดง

ชื่อสามัญ: Red worm (Lumbricus rubellus)
เป็นไส้เดือนดินมีลำตัวแบน สีแดง ขนาดกลาง ไม่ใหญ่มาก พบทั่วไปในดินที่มีความชุ่มชื้น หรือบริเวณที่มีมูลสัตว์ ทนทานต่ออุณหภูมิ ความชื้น สภาพแวดล้อมได้ดี ไม่ค่อยเคลื่อนไหว กินเศษอินทรีย์วัตถุได้มากและเร็ว
สายพันธุ์ไส้เดือนดิน ดินแง (Red worm)
ไส้เดือนดินแดง
ประโยชน์ของไส้เดือนดิน
1. ย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ เศษขยะอินทรีย์ ทำให้ช่วยลดปริมาณของขยะอินทรีย์ที่มีอยู่อย่างมากมาย ซึ่งเป็นปัญหาของสังคมในปัจจุบัน
2. ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน นำดินด้านล่างขึ้นมาด้านบน โดยการกินดินที่มีแร่ธาตุบริเวณด้านล่าง แล้วถ่ายมูลบริเวณผิวดินด้านบน ช่วยให้เกิดการผสมคลุกเคล้าแร่ธาตุในดินทำให้ต้นพืชได้ประโยชน์จากแร่ธาตุชั้นใต้ดินที่ไส้เดือนนำขึ้นมา
3.ช่วยเพิ่มและแพร่กระจายจุลินทรีย์ในดิน เมื่อไส้เดือนกินอาหารเข้าไป อาหารจะเข้าไปตามลำไส้ของไส้เดือน โดยลำไส้ของไส้เดือนจะมีจุลินทรีย์มากกว่า 300 ชนิด พอไส้เดือนขับถ่ายออกมา ก็จะได้มูลที่มีจุลินทรีย์มากมาย และมีแร่ธาตุ สารอาหารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช
4. เป็นอาหารของสัตว์ สำหรับปลาสวยงาม ไก่ชน นกสวยงามต่าง ๆ เพราะในตัวไส้เดือนมีโปรตีน และสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ช่วยเร่งการเจริญเติบโต เสริมสุขภาพของสัตว์เลี้ยง
5. ช่วยกำจัดสารเคมีที่ปนเปื้อนในเศษผักผลไม้ เศษผักที่ปนเปื้อนสารเคมีตามตลาดสด เมื่อนำไปให้ไส้เดือนกิน แล้วนำมูลที่ไส้เดือนขับถ่ายออกมาไปตรวจจะไม่พบสารเคมีปนเปื้อน
6. ช่วยพรวนดินรูขึ้นลงของไส้เดือน ทำให้เกิดการไหลเวียนอากาศ เมื่อไส้เดือนซอนไซไปในดิน ดินมีความพรุน ร่วนซุย อากาศสามารถเข้าไปในดินได้ รากพืชได้สัมผัสอากาศ จะทำให้รากพืชกระจายตัวได้ดี และต้นพืชเติบโตดี
7. เป็นดัชนีทางสิ่งแวดล้อมในการตรวจสอบโลหะหนัก และเคมีที่ปนเปื้อนจากการ เกษตรในดิน ถ้าพื้นดินที่ไม่มีใส้เดือนอาศัยอยู่เลย แสดงว่าพื้นดินตรงนั้น มีการสะสมของโลหะ หนักจากสารเคมีปราบศัตรูพืช ยาฆ่าแมลงมาก ไส้เดือนจึงหนีไปอยู่ที่อื่น หรือตายจากสาร เคมีที่สะสมมากในดิน
8. ใช้เป็นอาหาร ยาบำบัดโรค ยาบำรุงทางเพศ หรือเป็นวัตถุดิบในวงการเภสัชกรรม เช่น ในบางประเทศในยุโรป ได้มีการนำไส้เดือนมาทำเป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์ยาสลายลิ่มเลือด ยารักษาไขข้ออักเสบ ยารักษาเบาหวาน ประเทศจีนได้นำไส้เดือนมาทำเป็นยาโดปหรือยาบำรุงสมรรถภาพทางเพศ และได้มีการนำไส้เดือนมาใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง เช่น ลิปสติก เป็นต้น
สาระน่ารู้เกี่ยวกับการเลี้ยงไส้เดือนดิน
ถ้านำไส้เดือนดินพันธุ์ขี้ตาแร่ น้ำหนัก 1 ก.ก. (ประมาณ 1,200 ตัว) มากินมูลฝอยจะสามารถกินได้ ประมาณ 120-150 กรัมต่อวัน แล้วถ้า 1 ปี จะสามารถกินมูลฝอยได้ถึง 55 ก.ก. นั่นหมายความว่าจะสามารถ ช่วยลดปริมาณมูลฝอยที่นำไปฝังกลบได้ถึง 55 ก.ก.ต่อปี เป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 3.38 ก.ก. (ยังมิได้รวมการขยายพันธุ์)
ข้อมูล การฝังกลบก่อให้เกิดก๊าซมีเทนประมาณ 61.5 ก.ก. ต่อปริมาณมูลฝอยที่ฝังกลบ 1 ต้น
L.A PLastic โรงงานพลาสติก
129/20 หมู่4 ซ.เพชรเกษม99 แยก 5
ต.อ้อมน้อย อ. กระทุ่มแบน
จ.สมุทรสาคร 74130 ประเทศไทย

TEL: 081-903-4147

Email: la2plastic@gmail.com
line qr code ติดต่อโรงงานผลิตพลาสติก
LINE ID: @laplastic
Copyright © 2008 by "L.A PLASTIC"  •  All Rights reserved www.laplastic.biz Tel: 081-9034147