การเพาะเมล็ดไม้ดอกที่มีขนาดเล็กมาก
เช่น กล็อกซิเนีย อัฟริกันไวโอเล็ต และบีโกเนีย เป็นต้น
1. ภาชนะที่ใช้เพาะ
• กระถางดินเผา ขนาด 10 นิ้ว ตื้น (กระถางหมู่) หรืออาจใช้เป็นกระถางพลาสติกแทนได้
• ขวดกาแฟชนิดเหลี่ยม
• ตะกร้าพลาสติกชนิดโปร่ง
2. วัสดุเพาะ
• ทราย 1 ส่วน
• ขุยมะพร้าว 1 ส่วน
• ดินจากใบไม้ผุ 1/2 ส่วน
3. วิธีการเพาะ
ภาชนะที่ใช้เพาะจะใช้กระถางดินเผา กระถางพลาสติก ขวดกาแฟ หรือ ตะกร้าพลาสติกก็ได้ ส่วนใหญ่แล้วการเพาะเมล็ดไม้ดอกประเภทนี้จะเพาะลงในกระถางดินเผาขนาด 10 นิ้วตื้น หรือ กระถางหมู่ เนื่องจากเก็บความชื้นได้ดีระบายน้ำได้ง่าย และสะดวกต่อการให้น้ำด้วย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ปลูกเลี้ยง คือ ถ้าต้องการปริมาณต้นกล้ามากก็อยากจะแนะนำให้เพาะลงตะกร้าพลาสติกโปร่งขนาด 12 x 15 นิ้ว จะได้ต้นกล้ามากกว่า และไม่เปลืองเนื้อที่ด้วย และถ้าต้องการเพาะเมล็ดเพียงเล็กน้อยก็อาจจะเพาะลงขวดกาแฟเหลี่ยมก็ได้แต่ภาชนะนี้ไม่ขอแนะนำให้ใช้เพราะไม่สะดวกเวลาย้ายกล้า
เมื่อเลือกภาชนะใช้เพาะได้แล้ว ก็นำวัสดุเพาะร่อนให้ละเอียดด้วยตะแกรงลวดชนิดถี่ ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันดี แล้วจึงนำไปเข้าตู้อบความร้อน 100 องศาเซลเซียส นาน 1-2 ชั่วโมง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย ที่อาจติดมาด้วย แล้วทิ้งไว้ให้เย็นจึงนำไปเพาะเมล็ดต่อไป ในกรณีที่ไม่มีตู้อบก็ให้นำวัสดุเพาะลงคั่วในกระทะประมาณ 1-2 ชั่วโมง ทิ้งไว้ให้เย็นจึงนำมาใช้เพาะเมล็ด ใช้บัวฝอยละเอียดรดน้ำให้วัสดุเพาะพอเปียกชื้น ให้วัสดุอิ่มตัวก่อนเพื่อมิให้ขุยมะพร้าว ใบไม้ผุ ลอยขึ้นมาปิดหน้าวัสดุเพาะ หลังเพาะเมล็ดไปแล้วจะทำให้กลบเมล็ดแน่น เมล็ดจะไม่สามารถงอกได้ จากนั้นจึงนำวัสดุลงบรรจุในกระถางดินเผา เกลี่ยผิวหน้าวัสดุเพาะให้เรียบ นำเมล็ดกล็อกซิเนีย หรือ อัฟริกันไวโอเล็ก 1 หยิบมือ (นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือหยิบ) ผสมกับทรายละเอียด 1 ช้อนชา ในซองกระดาษแข็งๆ เขย่าให้เมล็ดและทรายเข้ากันจึงหว่านลงบนผิวหน้าวัสดุเพาะ โดยใช้ซองกระดาษแข็งที่บรรจุเมล็ดเคาะกับนิ้วมือซ้ายหว่านให้กระจายทั่ววัสดุเพาะ ตัดกระดาษหนังสือพิมพ์ตามรูปกระถางแล้วจุ่มน้ำให้เปียกปิดหน้าวัสดุเพาะรดน้ำด้วยบัวฝอยละเอียดอีกครั้งนำไปตั้งในที่ร่ม แสงไม่จัด ควยดูแลเรื่องการให้น้ำ คือ ถ้ากระดาษปิดทับแห้งก็ให้น้ำโดยใช้บัวฝอยละเอียดรด และคอยเปิดกระดาษออกดูการงอกของเมล็ดด้วยเมล็ดจะงอกภายใน 7-10 วัน จากนั้นให้เปิดกระดาษที่ปิดออก
4. การดูแลรักษาขณะเป็นต้นกล้า
เมล็ดงอกเป็นต้นกล้าหมดแล้ว การให้น้ำต้องเปลี่ยนมาเป็นการให้แบบฉีดพ่น โดยใช้กระบอกฉีดชนิดฝอยละเอียดพ่นให้วันละ 2 ครั้ง ทั้งเช้า-บ่าย และให้ปุ๋ยยูเรียในอัตรา 1-2 ช้อนชาต่อน้ำ 5 ลิตร ฉีดพ่นให้ทุกๆ 3 วัน เมื่อเห็นว่าต้นกล้าโตและเริ่มเบียดกันแน่นจึงเตรียมการย้ายปลูก
5. วิธีการย้ายต้นกล้า
เมื่อต้นกล้าโตพอที่จะย้าย (อายุประมาณ 25-30 วัน นับจากวันเพาะเมล็ด) ให้ย้ายทันทีเพาะถ้าหากย้ายช้าเกินไปต้นกล้าจะเบียดกันแน่น แย่งแสงแดดแย่งอาหารจะทำให้ได้ต้นกล้าที่ไม่แข็งแรง ซึ่งเป็นผลทำให้มีดอกที่ไม่มีคุณภาพ สำหรับวัสดุที่ใช้ย้ายต้นกล้านั้นมีส่วนผสมดังนี้
• ทราย 1 ส่วน
• ขุยมะพร้าว 1 ส่วน
• ปุ๋ยหมัก 1 ส่วน
วัสดุสำหรับย้ายต้นกล้านี้ต้องร่อนให้ละเอียดเช่นเดียวกับวัสดุเพาะภาชนะที่จะใช้เพาะอาจเป็นกระถางหมู่ ขนาด 10 นิ้วตื้น ทั้งชนิดที่เป็นดินเผาและพลาสติก หรือตะกร้าพลาสติกชนิดโปร่งก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้วนิยมใช้กระถางหมู่ชนิดดินเผา ขนาด 10 นิ้วตื้น (กระถางแขวน) เพราะสามารถเก็บความชื้นไว้ได้ดีกว่าภาชนะชนิดอื่น ให้นำวัสดุบรรจุลงภาชนะประมาณ 3/4 ของความสูงของภาชนะที่ใช้ รดน้ำให้ชุ่มแล้วจึงย้ายต้นกล้า
เนื่องจากต้นกล้าของไม้ดอกประเภทนี้มีขนาดเล็กการใช้มือถอนทำไม่สะดวกและอาจทำให้ต้นกล้าช้ำได้ง่าย ให้ใช้ปากคีบปลายแหลมช้อนใต้ใบแล้วค่อยๆ ดึงต้นกล้าอย่าให้รากขาด จากนั้นนำลงปลูกบนวัสดุที่ทำเป็นหลุมเล็กๆ ไว้ด้วยปลายดินสอ แล้ววางต้นกล้าให้ตั้งตรงแล้วใช้ปลายดินสอค่อยๆ กลบวัสดุปลูกที่โคนต้นกล้าให้แน่น ย้ายปลุกให้ต้นกล้าห่างกัน 2-2.5 เซนติเมตร
6. การดูแลรักษาหลังย้ายต้นกล้า
ในช่วงหลังย้ายต้นกล้านี้ การให้น้ำนั้นให้ 2 เวลา เช้า-เย็น ใช้ฉีดพ่นให้และมีการให้ปุ๋ยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยใช้ปุ๋ยยูเรียอัตรา 2 ช้อนชา/น้ำ 5 ลิตร สลับกับปุ๋ยโพแทสเซียมไนเตรต (KNO3) ฉีดพ่นให้ทางใบ ส่วนยากำจัดโรคและเมลงนั้นไม่จำเป็นต้องให้บ่อยครั้ง เพราะไม่ค่อยจะพบปัญหาที่เกิดจากโรค แต่ควรจะมีการป้องกันไว้โดยใช้เซฟวินสำหรับแมลง ส่วนการกำจัดโรคนั้น ใช้แอกริมัยซินหรือ คาโคนิล ฉีดพ่น